วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อีกหนึ่งมุมมองว่าจะทำอาชีพอะไรดี




                         อาชีพทำเงินในโลกใบนี้มีอยู่มากมายเป็นล้าน ๆ อาชีพ แต่อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนว่าจะเห็นช่องทางทำเงินได้อย่างไร ยิ่งตอนนี้เป็นโลกของอินเตอร์เน็ต โลกของโซเชียล ทำให้โอกาสในการทำเงินง่ายขึ้นไปอีก  โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตถ้าใครหันหามาใช้ช่องทางของอินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจ สามารถหาเงินได้มากมายเพราะทุกช่องทางเป็นเงินไปหมด เช่น เปิดเวบไซต์ขายของ หรือค้าขายผ่านเฟจบุ๊ค ไลน์ อินสตาร์แกรม หรือทวิสเตอร์ การเขียนบทความขายทางอินเตอร์เน็ต การทำแอฟลิแอด  การทำอเมซอน การขายของทางอีเบย์ การขายภาพถ่าย การรับจ้างโพสต์ การเทรดฟอเร็ก   แต่ถ้าใครไม่เก่งเรื่องคอมฯ ก็มีทางเลือกอีกเยอะแยะเหมือนกันครับเช่นเป็นนายหน้า ขายที่ดิน ขายรถมือสอง ขายประกันรถยนต์ ขายตั๋วเครื่องบิน รับจองห้องพักโรงแรม
                          บทความนี้ผมมีมุมมองของการทำเงินอีกประเภทหนึ่ง ที่ง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน และลงทุนน้อย  นั่นคือการเคลื่อนย้ายสินค้าจากแหล่งผลิต  ไปสู่ผู้ที่ต้องการซื้อ หลักการของการทำเงินอาชีพนี้คือ อันดับแรกท่านต้องมีแหล่งผลิตอยู่ในมือก่อน แหล่งผลิตหาได้จากที่ไหนบ้างละ ลองสำรวจบริเวณที่ท่านอาศัยอยู่ก่อนเช่น ถ้าท่านอยู่จังหวัดที่ติดชายทะเล ก็เอาสินค้าทะเลเคลื่อนย้ายไปสู่ผู้ที่ต้องการซื้อ เช่น ร้านซีฟู๊ด หรือจังหวัดที่ไม่ติดชายทะเล  อีกตัวอย่างครับ เช่นในจังหวัดที่ที่ท่านอยู่มีโรงงานผลิตหนังเทียมท่านก็เข้าไปติดต่อที่โรงงาน ว่าขอเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือถามคุยราคาว่าจำหน่ายราคาส่งอยู่ที่ราคาเท่าไหร่  จากนั้น ท่านก็ไปหาลูกค้าที่ต้องการหนังเทียมเช่น ร้านตัดเย็บเบาะรถยนต์ ร้านรับหุ้มโซฟา จำหน่าย  การเคลื่อนย้ายสินค้าอีกอย่างที่น่าสนใจเช่น ถ้าท่านอยู่ภาคอีสาน ท่านก็นำสินค้าภาคใต้ เช่นปลาทูนึ่ง มาติดต่อส่งแม่ค้าในตลาดภาคอีสาน เพราะภาคอีสานไม่มีทะเล แต่ถ้าท่านไม่อยากเดินทางไปติดต่อปลาทูนึ่งที่ภาคใต้ ท่านก็สามารถไปติดต่อถามราคาที่ตลาดค้าส่ง เช่น ตลาดไทย 


ก็เป็นการนำเสนอมุมมองในการหาอาชีพทำเงิน ซึ่งมีอยู่เยอะแยะมากมาย ท่านก็ลองนำไปประยุกต์กับไอเดียของท่านดู ขอให้โชคดีทุกท่าน

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขายกิ๊ฟชอบใช้ทุนน้อย กำไรเห็น ๆ





     กิ๊ฟช๊อบสำเพ็งแหล่งทำเงินด่วน
                       อาชีพทำเงินอีกหนึ่งช่องทางที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด ง่ายและเร็ว ใช้เงินทุนน้อย มีเงินสดซักหนึ่งหมื่นบาทก็ค้าขายทำกำไรได้แล้วครับ เพราะของประเภทกิ๊ฟช๊อบที่สำเพ็งโดยส่วนมากเขาจะขายเป็นแพ็คหรือเป็นโหล  ผมเดินตลาดนัดหรือตลาดเปิดท้าย ก็มักจะเห็นบ่อยที่พ่อค้าแม่ค้าวางขายประเภททุกอย่าง 10 บาท หรือทุกอย่าง 20 บาท  ถ้าเจ้าไหนวางขายเป็นกองและมีสินค้าเยอะ ๆ ผมมักจะเห็นคนรุมล้อมเลือกกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง  ก็เลยจับทางได้ว่าหลักจิตวิทยาของมนุษย์ คือถ้าสินค้าประเภทเดียวกัน หรือเหมือนกัน โดยขายในราคาเท่ากัน ถ้าอีกคนตั้งวางขายบนโต๊ะ ส่วนอีกคนตั้งวางขายกองกับพื้นเป็นจำนวนมาก  จะเห็นได้ว่าแม่ค้าที่ตั้งวางขายกองกับพื้นจะมีลูกค้าไปรุมล้อมกันมากกว่า เพราะลูกค้ามองว่าเป็นของถูก
           

              ประเภททุกอย่าง 20 บาทนี่แหละครับ ลูกค้าชอบ เช่น กิ๊ฟหนีบผม สายรัดผม ที่คาดผม ผมมองว่าของที่เกี่ยวกับผู้หญิง เป็นอะไรที่ขายง่ายและขายได้ตลอดกาล  สินค้าบางตัวเราซื้อมายกโหล ตกโหลประมาณ 72 บาท เฉลี่ยต้นทุนอันละ 6 บาท แต่เวลาเราขาย ก็จะขายทุกอย่าง 20 บาท กำไรเกินครึ่งเลยนะครับ ขายง่ายขายไว ถ้าเราตั้งราคาสินค้าไม่แพง และมีสินค้าจำนวนมากซักหน่อย


                     ถ้าใครคิดจะทำเงินด่วน แนะนำให้ท่านลองเข้าไปเดินสำรวจดูในตลาดสำเพ็ง บางทีท่านอาจจะปิ๊งไอเดียสินค้าตัวใดตัวหนึ่งก็ได้  เพราะนี่เป็นแหล่งค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว และสินค้าก็มีเกือบทุกอย่าง เลือกมาซักตัวสองตัว ที่ถูกใจ วิเคราะห์ให้ละเอียดว่าขายได้เร็วได้ช้า     กลุ่มลูกค้าคือใคร วัยไหนบ้าง ราคาอย่าให้สูงมาก พยายามหาสินค้าที่เวลาเราไปขายราคาไม่สูงมาก คืออย่าเกิน 100 บาท มิเช่นนั้นแล้วอาจจะขายได้ช้า  คือว่าสินค้าราคาต่ำ จะช่วยให้เราขายได้เร็ว เงินของเราไม่จมอยู่กับสินค้า 

                     ก็ขอฝากไว้กับอีกอาชีพทำเงิน ที่ใช้ทุนน้อย    มีเงิน 5,000. - 10,000. ก็เริ่มค้าขายได้แล้ว ถ้าบาดเจ็บก็บาดเจ็บไม่มาก ไม่เหมือนบางงานที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง สำหรับสภาวะเศษฐกิจช่วงนี้

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความต่างของครอบครัว


  ความต่างของครอบครัว

                                       หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับครอบครัวของเรา คุณเคยสงสัยใหมว่า ทำใมครอบครัวของเราถึงไม่เหมือนกับครอบครัวของคนอื่น  ถ้าคุณกำลังคิดแบบนี้ละก็ ผมขอให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ครับ  เพราะว่าบรรทัดฐานที่เราจะนำมาใช้กับครอบครัวแต่ละคนนั้นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเราไม่สามารถเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ตายตัวได้ครับ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องนิสัยของพ่อบ้าน หรือนิสัยของแม่บ้าน การเลี้ยงลูก  ฐานนะของแต่ละครอบครัว การศึกษา   บางครอบครัวเรียนเก่งฉลาดกันทั้งบ้าน บางครอบครัวลูกตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ซึ่งต่างกับอีกครอบครัวที่ลูกไม่ฉลาด ไม่ตั้งใจเรียน ออกจะเกเรด้วยซ้ำ  ผมอยากให้พ่อแม่เปลียนมุมองเสียใหม่ครับ กับเรื่องราวความแตกต่างครอบครัวของเรากับครอบครัวของคนอื่น ผมว่าอาจจะทำให้คุณมีความสุขขึ้นได้นะครับ เช่น ลูกของเราเรียนหนังสือไม่เก่ง ลองคิดใหม่ครับ เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งมากหรอกครับ ขอให้เรียนให้จบ เป็นคนดี แล้วออกมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ การศึกษามันไม่ใช่สิ่งเดียวนะครับที่จะตัดสิน  หรือกำหนดโชคชะตาของคน คนรวยของเมืองไทยที่เรียกว่าระดับถึงขั้นเป็นเจ้าสัวหลายคนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ  





                               หรือเรื่องความแตกต่างในเรื่องการเงินก็เหมือนกัน ให้เราคิดใหม่ว่าถึงครอบครัวเราจะมีรายได้ไม่มากเหมือนกับครอบครัวอื่น แต่เราวางแผนการใช้จ่ายให้เพียงพอกับรายรับ ถ้าไม่พอก็หาช่องทางเพิ่มรายได้    หรือเรื่องความเจ้าชู้ของพ่อบ้าน ทำใมพ่อบ้านครอบครัวนี้เจ้าชู้เหลือเกิน ครอบครัวอื่นไม่เห็นเจ้าชู้เลย  คิดใหม่ลองมองย้อนกลับในเรื่องข้อดีของเขาบ้าง บางทีข้อดีของพ่อบ้านของเรา ครอบครัวอื่นอาจจะไม่มีก็ได้ครับ 
                               ผมคิดว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบบนโลกใบนี้ หรอกครับสุดท้ายแล้วพยายามคิดบวกเข้าไว้ครับ อย่ามองหาสิ่งที่เราไม่มีสิ่งที่เราขาด ให้เรามองสิ่งที่เรามี แล้วเราจะมีความสุขครับ

นาฬิกาแฟชั่น ฟันเดือนครึ่งแสน





           ขายนาฬิกาแฟชั่น
                    เป็นช่องทางทำเงินอีกหนึ่งอาชีพ ที่น่าสนใจไม่น้อย ใครที่ชอบเดินจตุจักร ตลาดนัด หรือตลาดเปิดท้าย  จะต้องเห็นแผงขายนาฬิกาแฟชั่น ที่เขาขายกัน 99.บาท 199.บาท หรือ 259.บาท ถ้าเรารู้ราคาต้นทุนของนาฬิกาแล้ว เราจะต้องอึ้งแน่นอนครับ เพราะต้นทุนจะตกอยู่ที่ประมาณ ไม่เกิน 60 บาท พ่อค้าแม่ค้าที่ไปซื้อมาแล้วก็จะมาแยกเป็นเกรดอีกที ขายในราคาไม่เท่ากัน 




                     แหล่งหาซื้อสินค้าที่จะนำมาขาย
                    ถ้าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดก็ต้องเป็นสำเพ็ง  เป็นตลาดเช้าไปเลือกเดินดูเลยครับ มีหลายร้าน ค่อย ๆ เดินดูไปเรื่อย ๆ สอบถามราคาให้ชัวร์ก่อน พยายามเดินไปด้านในหน่อยครับราคาจะถูกกว่าด้านนอก เทคนิคในการหาซื้อนาฬิกา เราอาจจะซื้อแบบสายพลาสติกร้านนี้ แล้วไปเลือกแบบสายหนังร้านโน้น แบบสายเหล็กก็เลือกอีกร้านก็ได้ เวลาจะซื้อก็ต้องดูด้วยว่าสภาพเป็นเช่นไร เข็มหลุดหรือไม่ หน้าปัดถลอกมั๊ย อย่าลืมนะครับเราเป็นผู้ซื้อเพราะฉะนั้นต้องดูให้ละเอียด เปรียบเทียบกันหลาย ๆ ร้าน 


                      เมื่อได้นาฬิกามาแล้วก็มาแบ่งเกรดเพื่อที่จะตั้งราคาขาย  ถ้าเป็นสายพลาสติกธรรมดา ก็ขายกันอยู่ที่ 99.บาท ถ้าเป็นสายพลาสติกแบบมีลายการ์ตูนก็ควรขายที่ราคา 159.บาท ถ้าเป็นสายหนังก็อาจจะตั้งราคาที่ 199.บาท และถ้าเป็นสายเหล็กราคาก็อาจจะตั้งได้ที่ 259.บาท เน้นขายง่ายไว้ก่อน พวกถ่านนาฬิกาสำรองก็ควรซื้อมาด้วย ราคาก็ตกประมาณแผงละ 20.บาท

           เงินลงทุนเบื้องต้น
           ควรจะมีซักประมาณ 10,000. บาท เริ่มทดลองขายก็ควรจะเลือกให้คละแบบไว้ก่อน ทั้งสายพลาสติก สายหนัง และสายเหล็ก รวม ๆ กันแล้วก็ควรจะมีซัก 100 เรือน  ตรงส่วนนี้ก็จะใช้เงินประมาณ 6,000.บาท อย่างอื่นก็เป็นอุปกรณ์เสริม เช่นผ้ากำมะหยี่ปูโต๊ะ หรือถาดที่ใส่นาฬิกา ซึ่งหน้าตาก็คล้าย ๆ กับถาดที่ทางร้านทองเขาใส่สร้อยทองขายนั่นแหละครับ มันทำให้สินค้าเราดูดีขึ้นมาก ถาดใส่นาฬิการาคาก็ประมาณ 300 -500 บาท


                   สำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดถ้าไม่อยากเดินทางเข้ามาสำเพ็ง  ก็สามารถสั่งซื้อทางเน็ตได้ครับมีหลายร้านที่เปิดเวบไซต์ขายทางเน็ตด้วย  ท่านลองเสริชในกูเกิ้ลว่าขายส่งนาฬิกาแฟชั่น จากนั้นก็ลองเลือกดูร้านไหนดูน่าเชื่อถือก็สั่งได้เลย ผมว่าก็สะดวกดีนะ ไม่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพราะค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็คือต้นทุนในการทำการค้าเหมือนกัน 
                   ก็เป็นช่องทางทำเงินอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกันครับ  ลงทุนน้อย ขายง่าย ใครอยากมีรายได้เสริม ก็ลองดูครับ 

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แพ๊คขนมปี๊บส่งร้้านของชำ





                                                                     แพ๊คขนมปี๊บส่งร้านค้า
                   นี่คืออีกหนึ่งอาชีพช่องทางทำเงินที่ง่าย ๆ ครับ อาชีพนี้เป็นงานที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องมีโรงงานผลิตสินค้าเอง ตัวคนเดียวก็สามารถทำได้แล้ว ตรอกไหนซอยไหนขอให้มีร้านของชำ หรือซุปเปอร์มาเก็ต ส่งได้ทุกร้าน หอพักนักศึกษา ร้านกาแฟ สหกรณ์โรงเรียน สหกรณ์โรงพยาบาล ส่งได้หมด  เพียงแค่แพ๊คกิ้งบรรจุให้ดูดี น่ากิน ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ภาพข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างการบรรจุแพ๊คกิ้งที่ผมมองว่าดูดี มองแล้วน่าซื้อ


                     แล้วกลุ่มตลาดละ เราจะส่งที่ไหนดี ผมมองว่ากลุ่มลูกค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ
           กลุ่มลูกค้าระดับบน คือเป็นซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ ร้านกาแฟที่ดูดีซักหน่อย หรือซุปเปอร์มาเก็ตตามหอพักนักศึกษา  กลุ่มลูกค้าประเภทนี้รูปแบบร้านจะมีการจัดวางสินค้าที่เป็นระเบียบ มีชั้นวางสินค้าที่เป็นสัดส่วน ราคาที่วางขายอยู่ในร้านประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ 20 -40 บาท ถ้าเราจะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนเราต้องเน้นการแพ๊คกิ้งให้ดูดีเป็นพิเศษ ให้มองแล้วดูน่าซื้อ น่ากิน โดยส่วนมากถ้าเราส่งทางร้าน 16 บาท ทางร้านก็จะขายอยู่ที่ 20 

            ส่วนกลุ่มลูกค้าระดับล่าง ก็จะเป็นร้านขายของชำ หรือซุปเปอร์มาเก็ตขนาดเล็ก หรือตามสหกรณ์โรงเรียน สหกรณ์โรงพยาบาล  ราคาที่วางขายกันอยู่ก็จะประมาณ 10 - 20 บาท อันนี้การแพ๊คกิ้งไม่ต้องถึงกับเลิศหรูมาก แต่ก็ต้องให้ดูดีพอประมาณ  ราคาขายส่งก็จะอยู่ที่ห่อละ 8 บาท ทางร้านก็จะขายในราคา 10 บาท

                      เมื่อรู้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายแล้ว เราก็มาดูต้นทุน และวัสดูอปกร์ที่ต้องใช้ในการแพ๊คขนมกันครับ   เงินลงทุนขั้นต่ำควรมีซักประมาณ 10,000. บาท โดยแบ่งเป็น
      1. สำหรับซื้อขนมปี๊บขนาด 5 กิโล  ราคาประมาณปี๊บละ 280 - 450 บาท แล้วแต่ชนิดของขนม  โดยอาจจะทดลองซัก 10 ปี๊บก่อน 
      2. เครื่องซีลปากถุง ราคาตั้งแต่ 850 - 3,000. บาท แนะนำว่าควรใช้ราคาประมาณพันกว่าบาทก็พอแล้ว
     3.ถุงใส่สำหรับแพ๊คกิ้ง และตราชื่อของคุณ ถุงใส่นั้นมีขายตามร้านขายอุปกร์ทำเค้กหรือเบเกอรี่ทั่วไป ส่วนตราหรือโลโก้นั้น ถ้าทำเองไม่เป็นก็ไปให้ร้านทำป้าย หรือร้านคอมเขาออกแบบให้ ไม่กี่ตังค์ครับ ทุนตรงนี้ก็ไม่เกิน 2,000. บาท

                      ผมขอแนะนำว่าเราควรทดลองชิมขนมที่เราหมายตาไว้ว่าจะส่งขาย โดยไปทดลองซื้อแบบที่เขาแบ่งขายดูก่อน ซื้อมาชนิดละ สิบหรือยี่สิบบาท เราชิมแล้วถูกใจรสชาติแบบไหน ก็ซื้อยกปี๊บจากแหล่งขายส่ง ซื้อเสร็จแล้วก็มาคำนวนดูว่าตกต้นทุนประมาณกิโลละกี่บาท ถ้า1 กิโลเราจะสามารถแพ๊คได้กี่ถุง  อย่าลืมบวกต้นทุนเรื่องค่าขนส่งไปด้วยนะครับ     เพราะรถต้องใช้น้ำมันในการวิ่งติดต่อส่งขนม  เรื่องเงินก็แล้วแต่เราจะตกลงกับทางร้านที่เราจะไปส่งว่าจะเก็บเป็นเงินสด หรือรอบบิล หนึ่งอาทิตย์มาเก็บเงินก็ได้   อันนี้ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ถ้าแพ๊คกิ้งดูดี ราคาไม่แพง รสชาติถูกปากลูกค้ายังไงก็ขายได้ ขึ้นชื่อว่าของกิน  ฝากเป็นเคล็ดลับนิดหนึ่งครับ ถ้าร้านไหนมีชั้นวางสินค้าเป็นระเบียบ เป็นสัดส่วนมักจะขายดี ถ้าเลือกเจาะกลุ่มได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

                      ใครสนใจอยากหารายได้เสริมก็น่าสนใจนะครับ คนมีงานประจำอยู่แล้วก็สามารถทำได้        วางแผนการติดต่อส่งร้านค้า วนรอบหนึ่งอาทิตย์ก็ไปเช็คดูสักครั้ง ผูกมิตรกับร้านค้าไว้ ยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาพูดคุยติดต่อ มีขนมให้เจ้าของร้านได้ลองชิมดูบ้าง ได้ใจเขาแน่นอน ก็ฝากไว้อีกหนึ่งอาชีพช่องทางทำเงินครับ


วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เพาะเลี้ยงปลากะเบน กำไรเดือนละแสน






เลี้ยงปลากะเบนกำไรเดือนละแสน

               พอดีไปอ่านเจอของเวปมติชนออนไลน์ เห็นว่าน่าสนใจมากก็เลยรวบรวมข้อมูลนำมาให้อ่านกันครับ  ถือว่าเป็นช่องทางทำเงินที่น่าสนใจอีกหนึ่งอาชีพครับ  ผู้เลี้ยงที่ประสบความสำเร็จชื่อ คุณศักดิพัฒน์ พัฒนะ  เขาบอกว่ามีสายพันธุ์ปลากะเบนเด่นอยู่ 4 ชนิด คือซุปเปอร์ไฮบริด ไฮบริด โดลกาดอท โพเฮนลาย และอีกหลายสายพันธุ์             ปลากะเบนเป็นปลากระดูกอ่อน ที่พบได้ทั้งในน้ำจีดน้ำเค็ม และน้ำกร่อย พบอยู่ทั่วโลกประมาณ 400 สายพันธุ์  และในปัจจุบัน ปลากะเบนที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลากะเบนหางสั้น     ปลากะเบนหางสั้นมีถิ่นกำเนิดจากกลุ่มน้ำอเมซอนในประเทศแถบอเมริกาใต้ เมื่อก่อนในบ้านเรา หากใครอยากเลี้ยงปลาชนิดนี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีการเพาะเลี้ยงไม่ต้องไปหาซื้อไกลเหมือนแต่ก่อนแล้ว
            ความได้เปรียบประการหนึ่งของการเพาะเลี้ยงปลาพันธุ์นี้ นั่นคือ เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่มีโรคประจำตัว มีความต้านทานสูง อาจจะมีแผลเล็กน้อยก็เนื่องจากการไล่กัดกันเอง ซึ่งหลังจากใสยาปฏิชีวนะ ก็จะหายเป็นปกติ

  
          สำหรับการเลี้ยงปลากระเบน แบ่งการเลี้ยงออกเป็น 2 แบบ คือ เลี้ยงเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ ปีครึ่งถึงสองปี ตัวจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 14-15 นิ้ว พอตั้งท้องจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จากนั้นคลอดออกมาจะได้ลูกปลาครั้งละ 6 ตัว นำไปเลี้ยงอนุบาลประมาณ 1 เดือน ความยาวจะได้ประมาณ 4 นิ้ว เริ่มเห็นลายก็นำไปขายได้แล้ว
แบบที่สอง ก็คือ ซื้อลูกปลากระเบนมาเลี้ยงและขุนจนโตนำไปขาย โดยที่ไม่ต้องผสมพันธุ์เอง

ส่วนบ่อเลี้ยง จะใช้ระบบกรองน้ำหมุนเวียน และเพิ่มอ๊อกซิเจนภายในบ่อให้กับปลา และมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำ เพื่อรัษาคุณภาพน้ำให้ดีอยู่เสมอ...

อาหารของปลากระเบน เนื่องจากเป็นปลาที่ชอบกินของคาว ใช้เนื้อปลาแล่เป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ  ให้วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)  และเสริมด้วยไส้เดือนดิน ที่เลี้ยงไว้เอง

และในแง่ความสวยงาม ปลาชนิดนี้ มีหลากหลายสายพันธุ์ และสามารถผสมข้ามสายพันธุ์ จนได้ลูกออกมามีลวดลายแปลกขึ้นเรื่อยๆ

ปลากระเบนอายุ 2 ปีจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ และใช้เวลาตั้งท้องนาน 3 เดือน ให้ลูกเฉลี่ยครั้งละ 6-8 ตัว  แต่เคยมีสถิติให้น้อยที่สุด 1 ตัว และให้มากที่สุดถึง 20 ตัวลูกปลากระเบนอายุ  1 เดือน จะเริ่มขายได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นิ้ว โดยมีราคาตั้งแต่ ตัวละ 600-900 ไปจนถึงคู่ละ 60,000-80,000 "

ส่วนการดูแลโดยทั่วไป ไม่มีอะไรยุ่งยาก  เพียงแต่ต้องเอาใจใส่ดูแลเหมือนการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เลี้ยงบอกมาและน่าสนใจมากนั่นคือ ปลากระเบนทุกตัวขายได้แน่ๆ  

การเลี้ยงปลากระเบนเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งมีเทคนิคการเลี้ยง คือ ให้ปลากระเบนคนละสายพันธุ์มาผสมเพื่อให้มีลายสวยงามซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่น ปลากระเบนพันธุ์ โมโตโล ที่มีราคาหลักร้อย เมื่อน้ำไปผสมกับปลากระเบน โพลกาดอท ในราคาหลักหมื่น แล้วเอามาผสมกับปลากระเบนพันธุ์โพลเฮนลาย ก็จะได้ปลากระเบนพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าไฮบริด ที่มีลวดลายสวยและราคาแพง

สำหรับต้นทุนการเลี้ยงปลากระเบน  เริ่มต้นด้วยการสร้างบ่อที่มีระบบการหมุ่นเวียนน้ำ ซึ่งใช้เงินประมาณหลักหมื่น ส่วนตัวปลากระเบนแล้วแต่สายพันธุ์ ถ้าเพศเมียจะแพงกว่าเพศผู้ มีราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นบาท
                      ก็น่าสนใจมากนะครับสำหรับอาชีพนี้ ท่านไหนอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองเข้าไปอ่านได้ที่เวปมติชนออนไลน์ www.matichon.co.th ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่ผมได้นำมาให้อ่านกัน  ต้องขอขอบคุณทางเวปมติชนออนไลน์ด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ส่งอาหารทะเลร้านซีฟู๊ด




 อาชีพส่งอาหารทะเลร้านซีฟู๊ด

                   อีกหนึ่งอาชีพช่องทางทำเงินที่น่าสนใจมากครับ อาชีพนี้ถ้าใครที่มีรถปิคอัพอยู่แล้วจะได้เปรียบขึ้นมาหน่อย และถ้ายิ่งได้อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ เช่นแพปลา หรือบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงหอย เลี้ยงกุ้งจะยิ่งดีเข้าไปอีก  เดี๋ยวนี้คนนิยมอาหารทะเลกันมากครับ จะเห็นว่าร้านอาหารซีฟู๊ดเพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมาย  

                    ลักษณะของงานคือเราจะเน้นสินค้าตัวใดตัวหนึ่ง หรือจะเน้นความหลากหลายของสินค้าก็ได้  ผมอยู่ทางภาคใต้เห็นเพื่อนผมทำอาชีพนี้ ก็เลยพอมีข้อมูลอยู่บ้าง  ตัวงานมันก็บอกอยู่แล้วคือส่งอาหารทะเลซีฟู๊ด  คือการเข้าไปติดต่อร้านซีฟู๊ด ว่าเรามีวัตถุดิบเป็นอาหารทะเล เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาดุกทะเล กุ้งแชบ๋วย หอยนางรม หอยแครง ปูดำ ปลาหมึก  ก่อนติดต่อร้านอาหาร เราก็ต้องไปติดต่อที่แพปลา หรือบ่อเลี้ยงปลาก่อน สอบถามราคารายการวัตถุดิบแต่ละอย่าง  พอได้ราคามาแล้วก็ดำเนินการติดต่อร้านซีฟู๊ด  สิ่งสำคัญที่ร้านซีฟู๊ดต้องการ คือของต้องสดใหม่ ราคาก็ไม่ควรแพงกว่าท้องตลาด  และมีสินค้าแน่นอนสม่ำเสมอ เพื่อนของผมที่ทำอาชีพนี้เขาบอกว่า โดยส่วนมากร้านซีฟู๊ดขนาดใหญ่จะไม่ค่อยซีเรียสเรื่องราคา ถ้าไม่แตกต่างจากตลาดสดมากเกินไป เวลาเราไปนำเสนอร้านซีฟู๊ดเราก็บอกว่าของเราสดใหม่เสมอ และมีสินค้าแน่นอน โดยส่วนมากทางร้านเขาจะชอบตรงที่ความสะดวก และมีสินค้าไม่ขาด ขอยกตัวอย่างเช่น ปูดำไข่ ไซต์ 4 ตัวโล ตลาดสดขายอยู่ที่ กิโลละ 500 บาท แต่ถ้าเราไปซื้อที่แพปลาจะอยู่ที่ประมาณ  380-420 บาท นั่นละครับผลต่างของราคาที่เราสามารถมีกำไรจากราคาปูดำ  เวลาเราไปนำเสนอ เราก็จะบอกราคาประมาณ 490 บาท ซึ่งถูกกว่าตลาดสดประมาณ 10 บาท แถมมาส่งให้ถึงร้านอีก ร้านซีฟู๊ดจึงชอบไงละครับ  ถ้าเรามีลูกค้าเป็นร้านซีฟู๊ดขนาดใหญ่ เวลาช่วงเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ หรือวันหยุดยาวต่าง ๆ ทางร้านจะสั่งออเดอร์เยอะมาก ช่วงนี้จะเป็นช่วงทำเงินของอาชีพนี้เลยละครับ


                    ถ้าใครมีรถปิคอัพอยู่แล้ว และอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพช่องทางทำเงินที่น่าสนใจนะครับ  เริ่มแรกใช้เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 20,000. ก็น่าจะเพียงพอ ก็แล้วแต่ตกลงกับทางร้านว่าจะคิดแบบเงินสดเที่ยวต่อเที่ยว หรือแบบจ่ายเก่าเอาใหม่ก็ว่ากันไป แต่ถ้าใครได้ไปติดต่อแพปลาจะรู้เลยว่าส่วนต่างของราคาระหว่างแพปลา กับตลาดสด สามารถทำเงินให้เราได้แน่นอน  ใครยังนึกไม่ออกว่าจะทำอาชีพอะไรดี ก็ฝากไว้เป็นข้อมูลครับ  ท่านไหนชอบบทความนี้ก็ฝากกดถูกใจหรือช่วยแชร์ต่อให้เพื่อนด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เป็นเจ้าของตลาดเปิดท้าย




                                          เป็นเถ้าแก่ตลาดนัด ตลาดเปิดท้าย

                        นี่เป็นช่องทางทำเงินอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ควรมองข้ามในยุคที่คนฉลาดเลือกขึ้น  เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนเรา มีความได้เปรียบกันมากขึ้น ตัวเลือกในการจับจ่ายใช้สอยมีเยอะแยะมากมาย คนเดี๋ยวนี้ไม่ผูกยึดติดกับในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของทางอินเตอร์เน็ต หรือตลาดเปิดท้าย ก็มีสินค้าให้เราเลือกได้สารพัดอย่าง ราคาก็ถูกกว่าในห้างอีกด้วย  จะเห็นได้ว่า ตลาดนัดและตลาดเปิดท้ายมีอยู่ทุกหัวเมืองใหญ่ ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีช่องว่างให้เสมอสำหรับคนที่มองเห็นโอกาส ลองมองสำรวจดูครับ สำหรับบางท่านอาจจะมีที่ดินอยู่แล้วถ้าอยู่ในทำเลที่สวย ๆ ซักหน่อย ที่จอดรถสะดวก  ผมเห็นบางเจ้าเขาลงทุนเช่าที่คนอื่นเลยนะครับ ถ้าตลาดติดแล้วเสือนอนกินเหมือนกัน เป็นเจ้าของตลาดเนี่ย

                 

มาดูองค์ประกอบหลัก ๆ ในการเปิดตลาดนัดเปิดท้ายกันครับ อันดับแรกคือทำเล ตลาดของเราอยู่ในย่าน หรือใกล้ชุมชนหรือไม่  อันดับสองคือสถานที่จอดรถ เพียงพอและก็สะดวกหรือไม่  อันดับที่สามคือเรื่องของเงินทุน  อันดับที่สี่คือเรื่องของสภาพของตลาด เช่น เป็นพื้นดิน หรือพื้นคอนกรีต  ที่ผมนับเรื่องเงินทุนเป็นอันดับสาม ก็เพราะว่าอันดับแรกคนทำตลาดต้องมองโอกาสให้ออกก่อนครับ  ถ้ามองเห็นโอกาส จะมองออกว่าทำเลตรงไหนเหมาะกับการทำตลาด  เคยมีกรณีศึกษาเป็นตัวอย่างครับ แกชื่อว่าเฮียตี่ เริ่มแรกแกไปเช่าแผงหน้าโลตัสเพื่อขายสินค้าทุกอย่าง 20 บาท ขนาดของแผงก็ประมาณ 2x10 ม. แผงขายของแกอยู่ด้านนอกตัวอาคาร ซึ่งเป็นทางออกไปลานจอดรถ แกเช่าแผงของโลตัสขายของอยู่ประมาณ 3 เดือน กิจการของแกก็นับว่าขายดีใช้ได้ แต่แล้วแกก็มองเห็นโอกาสนั่นคือลานจอดรถของโลตัสสาขานั้น ลานจอดรถมันกว้างขวาง พื้นคอนกรีตอย่างดี ที่จอดรถก็มีหลังคาให้เรียบร้อย แกจึงเดินหน้าเจรจากับผู้จัดการขอเช่าพื้นที่ลานจอดรถส่วนหนึ่ง พื้นที่ประมาณ 1ใน 4 ของพื้นที่ลานจอดรถทั้งหมด โดยเฮียตี่แกบอกกับผู้จัดการว่า ผมจะเช่าทำตลาดเปิดท้าย ผมจะดึงคนมาโลตัสเยอะ ๆ ผุ้จัดการโลตัสเห็นดีด้วย ก็มีการทำสํญญากับทางโลตัส โดยเฮียตี่แกเปิดเป็นตลาดเปิดท้ายฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ตอนเย็นจนถึงประมาณ สี่ทุ่ม  สองอาทิตย์แรกที่เปิดจองปรากฏว่าพ่อค้าแม่ค้าจองกันเต็มหมดเลยครับ แกลงทุนจ้างรถแห่โฆษณาอยู่ประมาณสามสี่วัน โดยเดือนแรกแกให้แม่ค้าขายฟรีไม่คิดค่าแผง  ตอนนี้ตลาดเปิดท้ายของแกติดลมบนไปแล้ว 

                  เริ่มแรกต้องมองเห็นโอกาสก่อนครับ เรื่องเงินทุนมันจะตามมาทีหลัง จริง ๆ แล้วโอกาสมีอยู่รอบตัวเราครับ       ในการจะมองหาช่องทางทำเงิน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพทำเงินที่น่าสนใจเหมือนกันครับ  ถ้าชอบบทความนี้ฝากกดแชร์ด้านล่างให้คนอื่นได้อ่านด้วยครับ ขอบคุณครับ
            


วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความรวยมันสิ้นสุดตรงไหน





มีเท่าไหร่ถึงเรียกว่าร่ำรวยครับ
           ความร่ำรวยของมนุษย์เราทุกวันนี้ วัดจากอะไร นับจำนวนจากตรงไหน เป็นคำถามที่ง่าย ๆ ฟังแล้วใครก็ตอบได้ใช่ใหมครับ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าความร่ำรวยคนเขาก็มองจาก มีเงินเยอะ ๆ หลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน พันล้าน หรือหมื่่นล้าน หรือมองได้จากมีที่ดิน มีหุ้น มีทองคำ มีรถหรู มีบ้านหลังใหญ่ ๆ   สำหรับในความคิดของผมเองนั้น ความร่ำรวยมันไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ ครับ มันไม่สามารถระบุเป็นจำนวนที่แน่นอนได้ เพราะถ้าผมบอกว่าผมแค่ขอมีเงินในบัญชีสักสิบล้าน แต่คนอื่นเขาไม่คิดเหมือนผมบางคนบอกว่าต้องมีร้อยล้าน บางคนก็บอกว่าต้องมีเป็นพันล้านถึงจะเรียกว่ารวย บางคนบอกขอให้มีเงินในบัญชีสักหนึ่งล้านก็หรูแล้วครับ



              คือผมมีญาติที่สนิทกันมากคนหนึ่ง แกชอบทำงานเครือข่าย จำพวกขายตรง MLM แกก็มักจะมาชวนผมทำบ่อยแต่ผมก็มักจะปฏิเสธไปอยู่เรื่อย เพราะว่าเป็นงานที่เราไปลองแล้วรู้สึกเราจะไม่ชอบ ญาติของผมแกทำอยู่หลายปีครับ เปลี่ยนบริษัทโน้นบ้างนี้บ้างแกทำอยู่หลายบริษัท ประมาณ 20 ปี ที่แกทุ่มเทกับงานเครือข่าย ในที่สุดแกก็สำเร็จครับ แกสามารถสร้างบ้านราคาเป็นสิบล้านบาท มีรถหรู 2 คัน เฉพาะราคารถก็เป็นเงินเกือบสิบล้าน และแกก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน ประมาณดือนละ 4 ล้านกว่าบาท ผมว่าญาติของผมคนนี้เป็นคนเก่งมากครับ มีความเป็นผู้นำ คิดบวก วางเป้าหมายที่ชัดเจน คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ุท่มเทให้กับงานเต็มที่ แกเคยบอกกับผมว่าถ้าวันไหนแกมีรายได้เดือนละ 1 ล้านแกสบายแล้วครับ ไม่ต้องทำงาน ระบบมันจะทำงานแทนเรา แต่เท่าที่ผมเห็นตอนนี้ แกมีรายได้เดือนละ 4 ล้าน แต่แกอดหลับอดนอน ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ไม่ได้เล่นทำกิจกรรมครอบครัวกับลูก ๆ ดูครอบครัวเขาเปลี่ยนไปมาก คือมีเงิน แต่ดูไม่ค่อยมีความสุข เพราะครอบครัวเขาทะเลาะกันบ่อยขึ้น ญาติผมก็แอบไปมีเมียน้อยอีก  ผมเคยนั่งคุยกับเขาว่าทำใมไม่หยุดทำงานบ้าง หาความสุขกับครอบครัวบ้าง เขาบอกว่ามันยังไม่พอหรอกรายได้แค่นี้ ตอนนี้เขาต้องกุารมีรายได้เดือนละ 20 ล้าน โอ้ว......พระเจ้า  จริง ๆ แล้วไม่มีใครถูกหรือผิดหรอกครับ กับเหตุผลของแต่ละคน เขาก็คิดถูกสำหรับเขาว่าต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อย ๆ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก   แต่ความคิดส่วนตัวของผมเองนั้น ขอให้มีรายได้มากว่ารายจ่าย และเหลือออมไว้เพื่อการใช้จ่ายในอนาคตก็เพียงพอแล้วครับ


             สรุปแล้วสำหรับผมนั้น คิดว่าความร่ำรวยไม่สามารถระบุเป็นจำนวนที่ตายตัวแน่นอนได้ อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนครับ จะมีเท่าไหร่ก็ได้ขอให้ครอบครัวมีความสุข มีเพื่อนที่ดี มีสังคมที่ดี  มีงานที่สุจริต รักพ่อแม่ รักครอบครัวให้มาก ๆ ช่วยเหลือสังคมบ้าง ผมว่าชีวิตคนเราก็มีแค่นี้แหละครับ ขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตอย่างมีความสุขครับ 

จุดตกต่ำที่สุดในชีวิต



ใครยังไม่เคยผ่านมาบ้าง

               จุดที่ตกต่ำในชีวิตของเรา ผมเชื่อว่าทุกคนเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่ว่าจุดตกต่ำในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจนไม่มีเงินซักบาท บางคนเพื่อนไม่คบด้วย บางคนล้มเหลวเรื่องงาน บางคนเลิกกับแฟน หรือหย่าร้างกัน บางคนประสบอุบัติเหตุ บางคนเป็นโรคร้าย เพราะฉะนั้นบางครั้งไม่มีอะไรมาเป็นบรรทัดฐานได้หรอกครับว่าจุดที่ตกตำที่สุดในชีวิตของคนเราคืออะไร เพราะมันมีองค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน แต่พอจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกคนก็คือ ช่วงที่เราเจอจุดตกต่ำที่สุดในชีวิต คือช่วงที่เรามีความสุขน้อยที่สุด

            แล้วใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะผ่่านช่วงที่เรียกว่าจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตไปได้  อันนี้ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้อีกเช่นกัน เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปัญหาย่อมไม่เหมือนกัน องค์ประกอบที่ช่วยให้เรื่องจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตผ่านไปได้อีกอย่างคือ เรื่องของเวลา กับหัวใจครับ   เรื่องของเวลานั้นเราไม่สามารถย้อนกลับ หรือหยุดเวลาได้ แต่สิ่งที่เราจะจัดการได้คือเรื่องหัวใจ เพราะหัวใจของเราถ้าเราแข็งแกร่งพอ เราก็จะนำมาซึ่งการวางแผน เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า เราต้องมาวิเคราะห์ว่าจุดตกต่ำที่มันเกิดขึ้นมันมีสาเหตุจากอะไรกันแน่ อะไรคือปัญหา แล้วหลังจากนั้นเราก็จัดการกับปัญหา  ฟังแล้วดูเหมือนง่ายใช่ใหมครับ คุณอาจจะคิดว่าไม่โดนแบบฉันบ้างแล้วไม่มีวันรู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร  แต่มันเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินจริง ๆ ครับ การแก้ปัญหาในโลกใบนี้ คือเราต้องวิ่งเข้าชนปัญหา เช่นถ้าคุณพูดต่อหน้าสาธารณชนไม่เก่ง คุณก็ต้องหัดพูด ถ้ารายได้คุณไม่พอรายจ่าย คุณก็ต้องลดรายจ่าย หรือหารายได้เพิ่ม ถ้าคุณเลิกกับแฟนคุณก็ต้องมาวิเคราะห์ว่าเราผิดหรือถูก ถ้าเราผิดเช่นเราเจ้าชู้ หรือติดเหล้า การพนัน เราก็ต้องเลิกจุดนั้น หรือถ้าทำการค้าแล้วขาดทุน ก็มาวิเคราะห์แบบไม่เข้าข้างตัวเอง ว่าเพราะอะไร เราสู้คู่แข่งไม่ได้ตรงไหน ก็แก้กันตรงนั้น หรือว่าเราไม่เหมาะกับอาชีพนั้น ๆ ก็ลองเปลี่ยนอาชีพดู

          มันก็มีแค่นี้จริง ๆ ครับ สำหรับเรื่องราวของชีวิตมนุษย์ มีปัญหาตรงไหน ก็แก้ตรงนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เราไม่ยอมรับความจริงเพื่อจะแก้ในจุดตรงนั้น ขอเอาช่วยให้ทุกท่านผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตไปให้ได้โดยเร็ว  อย่าลืมนะครับ ตั้งสติแล้วมองถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น แล้วค่อยรวบรวมพลังทั้งหมดที่คุณมี ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไปยังเป้าหมายของเรา บอกกับตัวเองตลอดเวลานะครับว่าเราต้องผ่านช่วงเลวร้ายนี้ไปให้ได้  ขอเอาใจช่วยทุกท่านครับ สวัสดีครับ

เรือแคนูเรือคยัคให้เช่า





                                     ธุรกิจให้เช่าเรือแคนูเรือคยัค
           บทความนี้ขอเสนอช่องทางในการสร้างรายได้ กับอาชีพทำเงินอีกอาชีพหนึ่งครับ  ธุรกิจตัวนี้เป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้อย่างน่าทึ่งอีกตัวครับ การลงทุนก็ไม่มากเท่าไหร ถ้าเทียบกับรายได้  แถมยังมีช่วงเทศกาลให้กอบโกยได้เป็นระยะ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเรือแคนูกับเรือคยัคกันก่อน ว่ามันเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

           อันดับแรกเลยเนี่ยที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ลักษณะของพายที่ใช้ ถ้าเป็นคายัคจะเป็นพายแบบ 2 ด้านครับ แต่ถ้าเป็น แคนู จะเป็นพายแบบด้านเดียว
อันดับสอง ลักษณะตัวเรือ ถ้าเป็นคายัคจะเป็นแบบ หน้าปิด ท้ายปิด แต่ถ้าเป็น แคนูจะเป็นแบบเปิด ลักษณะคล้ายๆ เรือทองแบนครับ
อันดับสาม ถ้าเป็นคายัคจะนั่งได้น้อยครับ ส่วนใหญ่จะออกแบบมาให้นั่งแบบ 1,2,3 หรือ 4 คนเท่่านั้น แต่ถ้าเป็น แคนูจะสามารถนั่งได้หลายๆ คน 5-6 คน  มาดูภาพประกอบกันดีกว่าครับ
            



      ภาพด้านบนคือเรือแคนู ภาพล่างคือเรือคยัค


             ถ้าใครสนใจอยากจะทำธุรกิจตัวนี้เราต้องรู้ต้นทุนของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการประกอบธุรกิจ แล้วเราจึงจะสามารถคิดคำนวนจำนวนเงินทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจได้  เรามาดูราคาวัสดุอุปกรณ์กันครับ

             1. เรือคยัคหรือแคนู ราคาขั้นต่ำตั้งแต่ 12,000.- 35,000. บาท  ควรมีอย่างน้อยซัก 10 ลำ (เลือกตามขนาดเงินลงทุนของเรา)
             2.เสื้อชูชีพ ราคาตัวละ 650.- 3,500. บาท  ควรซื้อแบบธรรมดาก็พอราคาอยู่ที่ประมาณ 950. บาท  ควรมีไว้อย่างน้อยประมาณ 20 - 30 ตัว
             3.หมวกันน๊อคกีฬาทางน้ำใบละประมาณ 200. - 350.บาท ควรมีให้เท่ากับจำนวนเสื้อ
             4.ไม้พาย ราคาอันละประมาณ 400.บาท ควรมีให้เท่ากับจำนวนเสื้อ

            สำหรับธุรกิจตัวนี้ ถ้าใครอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว หรือแหล่งน้ำธรรมชาติก็จะมีข้อได้เปรียบ เช่น ถ้าบ้านอยู่ใกล้คลอง ลำธาร หรือน้ำตก ก็อาจจะใช้ที่บ้านเป็นสำหนักงานไว้คอยบริการลูกค้า ส่วนเรื่องสนนราคาค่าเช่าเรือนั้น เขาก็คิดกันอยู่ที่ประมาณชั่วโมงละ 200 - 400 บาทต่อลำ  ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่น่าสนใจนะครับ ท่านไหนที่บ้านอยู่ใกล้ ลำคลอง หนองบึง ทะเล ลองสำรวจดูบ้างก็ดีนะครับ  ตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเทียวหลายแห่งผมเคยไปเห็นมาแล้ว เช่น กระบี่ พังงา สตูล เมืองกาญจนบุรี ยังมีอีกหลายจังหวัดครับนึกไม่ออก แต่ก็ยังมีอีกหลายแห่งเหมือนกันครับ ที่ยังไม่มี บางท่านอาจจะมีไอเดียขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้
              
        ท่านไหนปิ๊งไอเดีย นำไปต่อยอดก็ลองดูครับ ก็นับเป็นช่องทางสร้างรายได้กับอาชีพทำเงินอีกหนึ่งอาชีพ เป็นอาชีพที่ทำให้คนมีความสุข ส่งเสริมการท่องเทียว ส่งเสริมกิจกรรมครอบครัว ช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวจะกลายเป็นวันรับทรัพย์ของท่านนะครับ อยู่กับธรรมชาติแล้วได้ตังค์  แค่คิดก็มีความสุขแล้วครับ


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การนวดฝ่าเท้า



                    อาชีพการนวดแผนไทย  นี่คืออีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจครับ บทความนี้ผมขอนำเสนอช่องทางการทำเงินจากฝ่ามือของเราเอง  ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก คู่แข่งขันก็ยังถือว่าไม่มากจนเกินไป และที่สำคัญเป็นอาชีพหรือธุรกิจที่อยู่ในเทรน นั่นคือเรื่องของสุขภาพ  ที่นับวันคนหันมาให้ความสนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขนาดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ยังมีแผนกแพทย์ทางเลือก และก็มีการนวดแผนไทยรวมอยู่ด้วย การนวดฝ่าเท้าคืออีกแนงหนึ่งของแพทย์แผนไทย และเดี๋ยวนี้ก็นำมาประยุคกับธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องความงามของผู้หญิงด้วย นั้นก็คือธุรกิจสปาที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป และพัฒนากลายมาเป็นจุดขายให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทย โรงแรม หรือรีสอร์ทหรู ๆ ก็ต้องมีสปาบวกการนวดพทย์แผนไทยเข้าไปด้วย  ที่สำคัญการนวดไทยกลายเป็นอาชีพที่นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาแต่ละปีถือว่าไม่ใช่น้อยเลยนะครับ เพราะคนไทยออกไปทำธุรกิจนวดแผนไทยกันเยอะมาก


                    พออ่านมาถึงตรงนี้ท่านต้องแยกให้ออกนะครับ กับหมอนวดที่แอบแฝงการขายบริการทางเพศ ซึ่งก็มีอยู่เกลื่อนเมืองเหมือนกัน  เรามาดูรายได้ของคนทำอาชีพนี้กันครับ  การคิดค่าบริการ โดยส่วนมากเขาจะคิดกันอยู่ที่ นวด 2 ชม. 300 บาท  ถ้าเป็นร้านหรู ๆ หน่อยก็มักจะคิดราคาที่ 2 ชม. 400 บาท แต่ถ้าเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ทระดับหรูมาก ๆ ก็จะคิดราคาที่ 2 ชม.500 - 600บาท ถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ กับการทำงานแค่สองชัวโมง   ผมมองว่าจุดเด่นของอาชีพนี้คือไม่ต้องลงทุนเยอะ อุปกรณ์ไม่มีอะไรมากมายให้ยุ่งยาก  ไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ประกอบการ จะเอาที่บ้านเป็นสถานที่ประกอบการก็ได้ หรือแถวริมชายหาดก็ได้บริการนักท่องเที่ยว หรือริมทางใหล่ทาง หรืออาจจะเป็นสวนสาธารณะก็ได้  หรือบางคนบริการตามบ้านของลูกค้าก็ยังมี ผมเคยใช้บริการเพราะคุณแม่ผมท่านโทร.มาให้นวดที่บ้านบ่อย ๆผมก็เลยมีโอกาสได้ใช้บริการด้วย ถ้าเราบริการดีเจอลูกค้าใจดีให้ทิปมากกว่าค่าจ้างก็มี ผมเคยถามคนที่มานวดคุณแม่ของผม  



                       แล้วถ้าเราอยากทำอาชีพนี้ละ แต่นวดไม่เป็นจะทำอย่างไร ไม่ต้องตกใจครับ จุดที่น่าสนใจสำหรับคนที่จะทำอาชีพนี้คือ ทางภาครัฐสนับสนุนเต็มที่เลยครับ เขาเปิดสอนฝึกอบรมฟรี โดยไม่คิดค่าเล่าเรียน สอนกันจากคนที่ไม่มีพื้นฐานจนสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพได้  หน่วยงานเอกชนบางแห่งก็ยังเปิดสอนฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เรียนจบก็มีหนังสือรับรองให้ด้วยhttp://www.thaimassage-academy.com/home_Th.html  ลองคลิกเข้าไปดูก็ได้ครับถ้าใครสนใจ

          กลับมาถึงเรื่องช่องทางการทำเงินกับอาชีพนี้กันต่อ ผมมองว่าเราสามารถทำได้เป็น 2 รูปแบบ คือแบบที่หนึ่งคือเป็นผู้ประกอบการเอง นวดเองไม่ต้องมีเถ้าแก่ไม่ต้องมีลูกน้อง คือถ้าเราผ่านหลักสูตรการนวดมาแล้ว เราจะเอาที่บ้านเป็นที่ทำงานของเราก็ได้ หรือจะบริการนวดนอกสถานที่ก็ได้ ซึ่งข้อดีก็คือเราไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย  ส่วนแบบที่สองคือแบบลงุทนเยอะขึ้นมาหน่อย คือเปิดเป็นสถานที่นวดแบบเป็นกิจลักษณะ มีพนักงานไว้คอยบริการลูกค้าหลายคน สถานที่ที่ใช้ประกอบการควรต้องดูดีหน่อย ควรใช้ตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ ตกแต่งติดกระจก ติดแอร์ให้ดูดีหน่อย ในเรื่องของตัวพนักงานนั้นเราสามารถติดต่อที่ศูนย์การสอนการนวดแผนไทยแต่ละแห่งได้ ว่าเราต้องการพนักงานกี่คน รายได้ก็ตกลงแบ่งกันในอัตราส่วนเท่าไหร่ 

            ก็ถือเป็นช่องทางในการทำเงินอีกอาชีพหนึ่งนะครับ ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ และเป็นอาชีพที่ดูแล้วกระแสจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์ก็รักตัวกลัวตาย ก็เลยต้องมองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสุขภาพของตัวเอง การนวดแพทย์แผนไทยก็ถือเป็นเรื่องราวของสุขภาพอีกแขนงหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นโอกาสของผู้ที่คิดจะทำธุรกิจด้านนี้  ขอให้ทุกท่านที่สนใจจะทำอาชีพนี้มีเงินมีทองการทุกท่านครับ

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อาชีพนายหน้าที่ดินแบบพิสดาร





            ถ้าเอ่ยถึงอาชีพนายหน้าซื้อขายที่ดิน หลายคนพอจะเข้าใจและรู้จักอาชีพนี้พอสมควร เพราะอาชีพนี้บางจังหวะโอกาสก็สามารถสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยากเหมือนกัน  เดี๋ยวนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จกับอาชีพนี้ นำมาเปิดเป็นคอร์สเรียนกันแล้วนะครับ ราคาที่เปิดสอนก็เก็บกันหลายตังค์ด้วยนะครับ  เรามาทำความรู้จักกับอาชีพนี้กันอีกซักหน่อยดีกว่าครับ เผื่อบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอาชีพนายหน้าซื้อขายที่ดิน เขาทำกันอย่างไรบ้าง 

           อาชีพนายหน้าซื้อขายที่ดิน คือตัวกลางระหว่างเจ้าของที่ดินที่อยากจะขายที่ดิน  กับผู้ที่มีความประสงค์จะซื้อที่ดิน  นายหน้าจะทำหน้าที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้ทำการซื้อขายที่ดินกัน และผู้ที่เป็นนายหน้าก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นของราคาที่ดินที่ได้ตกลงกันไว้ โดยส่วนใหญ่ผู้ขายจะเป็นฝ่ายจ่ายค่านายหน้าให้ประมาณ 3 % ของราคาที่ดิน ทั้งนี้ก็แล้วแต่นายหน้ากับผู้ขายจะตกลงกัน อาจจะมากกว่านี้ก็ได้ครับ
            เพราะฉะนั้นคนเป็นนายหน้าที่ดิน เมื่อได้ตกลงกับผู้ขายเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องวิ่งหาผู้ซื้อ ซึ่งก็ต้องมองหาคนมีตังค์เยอะ ๆ หรือคนที่ต้องการที่ดินในทำเลที่เราอยากจะขาย ความยากของอาชีพนี้มันอยู่ตรงนี้แหละครับ ในเมื่อเราไม่รู้จักคนที่เรียกว่าเป็นอาเสี่ย  นายทุน หรือเถ้าแก่ แล้วเราจะนำไปเสนอขายใครละ บทความนี้ผมจะมาแบ่งปันความพิสดารของคนที่ทำอาชีพนี้ และได้คุยเจาะลึกถึงเทคนิคง่าย ๆ แบบพิสดาร แต่ได้ผล คุณดอนคือชื่อของนายหน้าที่ผมรู้จักและผมทำการสัมภาษณ์คุยเจาะลึกถึงวิธีคิดเทคนิคในอาชีพของแก  คุณดอนบอกว่าแกจะเน้นที่ดินแถวแหล่งท่องเที่ยว ชายหาด ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนไทย เช่น เกาะภูเก็ต กระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ เกาะสมุย คุณดอนแกจะลงทุนขับรถวนดูสำรวจผังเมืองหลายวันครับ แล้วก็ดูว่ามีที่แปลงไหนที่ประกาศขายบ้างหลักเกณฑ์การคัดที่ดินของคุณดอน คือจะต้องมองเห็นวิวทิวทันศ์ชัดเจน ถ้าเห็นทะเลได้ยิ่งดี ถนนทางเข้าก็ต้องมีเรียบร้อย หลักฐานที่ดินก็ต้องเป็นโฉนดแล้ว คือให้เปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าถ้าเราจะซื้อทำบ้านพักตากอากาศ หรือทำโรงแรมรีสอร์ท หรือทำบ้านจัดสรรขายมันจะเหมาะสมหรือไม่  เมื่อเข้าเงื่อนไขแล้วคุณดอนก็จะคัดมาเน้น ๆ ซัก 3 แปลง  จากนั้นก็จะเข้าไปคุยกับเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลง  ตกลงเงื่่อนไข ราคา เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าให้เรียบร้อย แล้วก็ให้คัดเหลือเพียงแปลงเดียว โดยดูว่าเจ้าของที่ดินแปลงไหนน่าจะทำธุรกิจร่วมมากที่สุด
            เสร็จจากขั้นตอนเรื่องผู้ขายเรียบร้อย ต่อไปก็ต้องมองหาผู้ที่จะมาซื้อที่ดิน คุณดอนแนะนำว่า  การจะขายที่ดินติดชายทะเล หรือที่ดินตามแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งที่ดินย่อมมีราคาสูง เราก็ต้องมองหาผู้ซื้อที่เรียกว่าเป็นนายทุน หรืออาเสี่ย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องนำไปเสนอคนรวย ๆ ที่มีเงินทุนเยอะ ๆ คุณดอนบอกว่าหาง่ายมาก แต่ต้องอาศัยความใจกล้าหน้าด้านแค่นั้นเอง แกบอกว่าเจ้าของบริษัท เจ้าของโรงงาน เจ้าของโรงแรม เจ้าของโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ คนพวกนี้มีเงินเยอะทั้งนั้นแหละ ลิสต์รายชื่อมาให้ได้ซัก 200 รายชื่อ จากนั้นก็ทำเป็นจดหมาย  โดยมีหัวเรื่องคือขอเสนอขายที่ดินแปลงไหนกว่ากันไป ระบุราคาให้เรียบร้อย เนื้อที่เท่าไหร ขนาดกว้างยาวเท่าไหร่ ติดถนน ติดทะเล  อยู่ใกล้สถานที่สำคัญอะไรบ้าง  อย่าลืมหมายเลขโทรศัพท์ของเราต้องพิมพ์ให้ชัดหน่อย  แล้วก็ถ่ายเอกสารแนบสำเนาโฉนดไปพร้อมกับจดหมายด้วย  หลังจากนั้นก็ส่งจดหมายไปทั้งหมด ทั้ 200 รายชื่อ  รายชื่อไหนที่อยู่ไกล้ ๆ ก็ไปส่งด้วยตัวเองจะดีที่สุด  เสร็จจากขั้นตอนกระบวนการทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็มีหน้าที่รอรับโทรศัพท์  ใน 200 รายชื่อทั้งหมดที่ส่งไป คุณดอนบอกว่าขอให้โทรกลับมาซัก 4 รายชื่อก็ถือว่าโอเค.แล้วครับ  จากนั้นก็มีหน้าที่นัดผู้ที่จะซื้อไปดูตำแหน่งที่ดิน ถ้าผู้ซื้อพอใจโอกาสที่ท่านจะได้กำเงินล้านก็อยู่ไม่ไกลครับ


             เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเทคนิคและขั้นตอนการเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินของคุณดอน เท่าที่รู้แกทำสำเร็จมาหลายแปลงแล้วนะครับ ท่านไหนสนใจก็ลองนำไปลองทำดู หรืออาจจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเทคนิคของท่านก็ได้นะครับ  ก็ถือว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ลองดูครับ ไม่ลองไม่รู้ โอกาสทำเงินอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มาเปิดร้านขายทองกันดีกว่า




            บทความนี้ขอแนะนำอาชีพขายเครื่องประดับจำพวกทองคำ  อย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะเราจะใช้เงินทุนไม่เยอะ  ประมาณสองหมื่นบาทเอง อ่านไม่ผิดหรอกครับแค่สองหมื่นบาทสำหรับธุรกิจขายทองคำ  เพราะมันเป็นทองทำไมครอน หรือทองชุบนั่นเอง ราคาไม่แพงครับ แต่ได้คุณภาพถ้าเปรียบเทียบกับทองคำแท้ดูไม่ค่อยออกหรอกครับว่าของจริงหรือของปลอม  ที่สำคัญมองดูแล้วแนวโน้มตลาดกำลังโตไปได้ดีครับ เนื่องจากปัจจัยทางด้านเศรฐกิจที่ย่ำแย่กันทั่วประเทศ ผู้คนเลยหันมาสวมใส่ทองไมครอนกันมากขึ้น  ก็คนเราต้องการสวย ต้องการความดูดีนี่ครับ ในเมื่อซื้อของจริงไม่ได้ ก็ต้องหันมาใส่ทองชุบแล้วกัน   คือผมมีเพื่อนของรุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง ชื่ออมร  แกทำธุรกิจตัวนี้มาได้ประมาณ 2 ปีแล้วครับ แกมีกำไรจากการขายทองไมครอน หรือทองชุบเนี่ยเดือนละประมาณ สามถึงสี่หมื่นบาทนะครับ ทำเป็นเล่นไป และแกก็บอกว่าแนวโน้มก็ขายดีขึ้นเรื่อย ๆ
 
          เอาละครับเรามาดูต้นทุน และก็กำไรจากธุรกิจตัวนี้กันดีกว่า แกบอกว่าสำหรับกำไรนั้นจะสูงถึง 100-200 เปอร์เซ็นเลยครับ ซึ่งถือว่าสูงมาก คือพูดง่าย ๆ ว่ากำไรเท่าตัว หรือสองเท่าตัว แกบอกว่าสร้อยคอ และสร้อยข้อมือขนาด 1 บาท จะมีต้นทุนอยู่ที่เส้นละประมาณ 250-350 บาทขึ้นอยู่กับแบบครับ ว่าลายไหนจะแพงกว่า ลายไหนถูกกว่า  เวลาขายก็จะตั้งราคาไว้ที่ประมาณ 750-950 บาท  คือบวกกำไรไปสองเท่าตัวเลยครับ ส่วนจำพวกแหวน ราคาต้นทุนก็ตกประมาณวงละ 80-150 บาท  เวลาขายก็บวกกำไรไปสองเท่าเหมือนกัน   แกบอกว่าจำพวกสร้อยข้อมือจะขายดีที่สุด เรื่องคุณภาพของสินค้านั้นก็จะอยู่ได้นานหลายเดือนครับกว่าสีจะลอก ขึ้นอยู่กับการสวมใส่ของลูกค้า คือถ้ามันโดนเหงื่อบ่อย ๆ มันก็จะลอกเร็วขึ้น แต่สวนมากคนที่ซื้อเขาบอกว่าจะใส่นาน ๆ ครั้ง ซื้อไว้ใส่ให้เข้ากับชุดเวลาออกงานต่าง ๆ เช่นงานแต่ง งานขึ้นบ้านไหม่ งานบวช งานพิธีต่าง ๆ เพราะผู้หญิงมักจะมีชุดหลายชุด เพื่อใส่ชุดออกงานตามแต่สถานการณ์

            แล้วทำเลที่ตั้งละ จะเช่าตึกแถว หรือเช่าล๊อคในห้างดีกว่ากัน อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกเหมือนกันครับ สำหรับอมร คนที่ให้ข้อมูลกับผมในครั้งนี้แกบอกว่า ไม่ต้องลงทุนเช่าตึกแถว หรือเช่าล๊อคในห้างหรอกครับ แพงปล่าว ๆ  อมรแกใช้วิธีขายตามตลาดนัด หรือตลาดเปิดท้ายครับ เพราะใช้พื้นที่ไม่เยอะ ประมาณ 1-2 ตารางเมตร ก็หรูแล้วครับ อมรแกขายได้วันนึงประมาณ 2000-4000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะนะครับ เพราะกำไรมันได้อย่างน้อยก็ครึ่งนึงจากยอดขายที่ได้

            มาถึงแหล่งวัตถุดิบ ละครับ เราจะหาซื้อทองไมครอนที่จะนำมาขายต่อได้จากที่ไหน อมรบอกผมว่าแถวนครปฐม หรือสมุทปราการ ถือว่าเป็นแหล่งผลิตใหญ่เลยครับ อมรบอกว่าการเลือกอุปกรณ์ที่วางโชวน์สินค้าก็สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้สินค้าดูดี ใครเห็นแล้วก็อยากจะแวะเข้ามาดู เช่นกล่องใส่แหวน ถาดวางสร้อยข้อมือ สร้อยคอ คือให้เรานึกภาพเวลาที่เราเดินเข้าร้านทองใหญ่ ๆ จะเห็นกล่องใส่แหวน หรือถาดวางสร้อยทองที่บุกำมะหยี่สีแดงอย่างดี  ราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท ลองเข้าไปดูข้อมูลที่เวบนี้ครับคุณอมรเขาแนะนำมาเป็นเวบที่ขายส่งทองไมครอนhttp://goldmicron.lnwshop.com/


              มาถึงตรงนี้แล้วบางคนพอจะนึกภาพออกบ้างแล้วนะครับสำหรับะธุรกิจตัวนี้ เงินทุนสองหมื่นบาท ก็ซื้อสินค้าได้พอประมาณแล้วครับ ลองดูตลาดก่อนพอเริ่มขายดีก็ค่อยสั่งเพิ่มขึ้น  ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่คิดจะหารายได้เพิ่ม ขอให้โชคดีในการขายทองคำนะครับ