วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เพาะเลี้ยงปลาไหล เงินจะไหลมาสมชื่อ

                      

                   นี่เป็นช่องทางสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งครับ  นับว่าเป็นช่องทางน่าสนใจตรงที่การจัดการไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน ลงทุนน้อย ทำเงินได้เยอะ ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย ที่สำคัญตลาดมีความต้องสูง ก็ลองศึกษากันดูครับเผื่อบางท่านอาจจะปิ๊งไอเดียอะไรที่สามารถต่อยอด พัฒนาไปได้มากกว่านี้

            ปลาไหลที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะหามาจากธรรมชาติเกือบทั้งนั้น มิแปลกที่ราคาค่อนข้างสูงกว่าปลาเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ ด้วยว่าในคลอง หนอง บึง นับวันมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป บางท้องถิ่นกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น การจับปลาไหลมาขังเดี่ยวในล้อยาง โตดี รอดชีวิตสูงนี้ เป็นผลงานของ อ.ประพัฒน์ ปานนิล ที่ระนองอาจารย์เล่าว่า ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ก็ประสบปัญหามาเหมือนกัน เพราะว่ายางในรถจักรยานยนต์มีกลิ่น และสิ่งสกปรกอยู่เยอะ หากเรานำมาเลี้ยงปลาเลย ก็ทำให้น้ำเน่าเสียได้เร็ว และส่งผลให้ปลาตายหรือไม่ค่อยกินอาหารได้เหมือนกัน


            เตรียมอุปกรณ์เลี้ยงปลาต้องคัดเลือก
 อาจารย์ประพัฒน์ กล่าวว่า การนำยางในรถจักรยานยนต์เก่าเพื่อมาใช้เลี้ยงปลาไหลนั้น จะต้องคัดเลือกไม่ให้มีรอยขาดกล้างเกินไป ไม่เช่นนั้นปลาจะมุดหัวหนีออกมาได้ และเมื่อคัดเลือกยางได้แล้ว เราก็เจาะรูเล็กๆรอบล้อด้วย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำเมื่อเวลาเลี้ยง เพร้อมกับใช้มีดตัดส่วนที่เป็นโลหะหรือช่องใส่ลมออกทิ้ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันสนิมเมื่ออยู่ในน้ำนั่นเอง
ก่อนนำล้อยางไปใช้งานเราจะต้องแช่น้ำนานอย่างน้อย 15 วัน เพื่อการจำจัดกลิ่นละลายสิ่งสกปรกและล้างทำความสะอาด ดังน้้น เมื่อนำไปใช้งานเลี้ยงปลา ที่ไม่ประสบปัญหาอะไรเลย แถมปลายังชอบอยู่อาศัยอีกด้วย เมื่อยางไม่มีรอยขาดและสะอาดแล้ว ก็ให้เตรียมข้อต่อ พีวีซี 4 ทาง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้วครึ่ง ทั้งนี้เพื่อไว้ต่อยางในให้เป็นวงกลมเหมือนเดิม และมีปากท่อไว้สำหรับให้อาหารด้วย
ก่อนที่จะต่อเชื่อมกัน ต้องนำข้อต่อรูด้านล่างแช่ในน้ำเดือด ประมาณ 3 นาที ทั้งนี้เพื่อให้อ่อนแล้วหนีบด้วยไม้กระดานให้ปลายตีบแบน เพื่อป้องกันปลาหนีและเป็นแอ่งอาหาร
รูข้อต่อ พีวีซี ทางด้านบนเราจะต้องเจาะรูขนาด 2-3 หุน จำนวน 2 รู เพื่อระบายอากาศ จากนั้นนำท่อ พีวีซีขนาด 1 นิ้วครึ่ง ตัดเป็นท่อนยาว 10 เซนติเมตร นำไปแช่ในน้ำเดือด 3 นาที เพื่อให้อ่อนนุ่ม แล้วหนีบด้วยไม้กระดานให้ปลายตีบแบนแล้วนำไปใส่ในรูด้านบนเพื่อป้องกนปลาหนีและเป็นที่ให้อาหาร โดยเปิดออก เมื่อให้เสร็จปิดกลับเหมือนเดิม
จากนั้นนำล้อยางไปแขนหรือวางเป็นแนวนอนในน้ำ โดยให้ระดับน้ำสูงไม่เกินครึ่งของข้อต่อ พีวีซี ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ถังพลาสติก 20 ลิตร ผ่าในแนวนอน จากนั้นก็ใส่น้ำให้เกือบเต็ม นำไม้เนื้อแข็งมาทำเป็นคาน เสร็จแล้วนำล้อยางในจักรยานยนต์ที่สวมอยู่กับท่อ พีวีซี มาแขวนไว้ให้เต็มพื้นที่
ปล่อยปลาไหลลงเลี้ยงในวงล้อ ล้อละ 1 ตัว โดยใช้ปลาเป็ดบดหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆเป็นอาหาร วันละ 1 ครั้ง ในตอนเย็น จนปลาไหลได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการ

ปลาไหลเลี้ยงในล้อยางมีอัตรารอดชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์

อัตราการเจริญเติบโตของปลาไหลที่เลี้ยงในล้อยางในรถจักรยานยนต์เก่า โดยใช้ปลาไหล 3 ขนาด คือ 1.9 กรัม จำนวน 6 ตัว ปลาไหลขนาดน้ำหนักเฉลี่ย 9.6 กรัม จำนวน 5 จีง และปลาไหลขนาดน้ำหนักเฉลี่ย 100 กรัม จำนวน 5 ตัว เป็นเวลา 90 วัน พบว่า ปลาไหลขนาด 1.9 กรัม มีน้ำหนักเฉลี่ย 9.26 กรัม ปลาไหลขนาด 9.60 กรัม มีน้ำหนักเฉลี่ย 19.96 กรัม และปลาไหลขนาด 100 กรัมมีน้ำหนักเฉลี่ย 201.50 กรัม สำหรับอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อนั้นเมื่อเลี้ยงครบ 90 วัน คือ 4.14:1,4.82:1 และ 2.7:1 ตามลำดับ
ปลาไหลที่นำมาเลี้ยงนั้นนำมาจาก แหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะว่ายังไม่ได้ศึกษาวิธีการเพาะขยายพันธุ์ปลาชนิดนี้ จึงจำเป็นต้องหามาจากธรรมชาติ ช่วงแรกๆค่อนข้างตื่น แต่เมื่อเลย 20 วันไปแล้ว จะเชื่องมาก โดยเฉพาะเวลาให้อาหารก็โผล่หัวขึ่นมากินอาหารเอง
และในระหว่างเลี้ยงจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำน้อยมาก เพราะว่าปลาไหลมีคุณสมบัติพิเศษคือ ด้านทานโรคได้เก่ง อย่างไรก็ตาม ในการนำมาเลี้ยงในล้อยางและอยู่ในถัง 200 ลิตร เราจะเปลี่ยนถ่ายน้ำออกทิ้งสัปดาห์ล่ะ 1 ครั้ง โดยแต่ละครั้งถ่ายออกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อต้องการให้ปลาไหลมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั่นเอง

เมื่อเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำ ปลาไหลที่อยู่ในล้อก็จะดิ้นไปมา ทำให้ขี้ปลาออกมาจากรูเล็กๆ รอบล้อ ที่เจาะไว้ เพราะฉะนั้นการเลี้ยงปลาไหลด้วยวิธีนี้่คุณภาพเนื้อดี เนื่องจากทั้งอาหารและน้ำ มีการดูแลเป็นพิเศษ การเลี้ยงปลาไหลในล้อยางในรถจักรยานยนต์และให้อาหารเป็ดกินทุกวัน ประสบผลสำเร็จดีมาก เนื่องจากปลาไหลโตดีและอัตราการรอด 100 เปอร์เซ็นต์ ในการเลี้ยงปลาไหลแบบนี้ สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียงและดำเนินการในเเชิงพาณิชย์...

เทคนิค  และ ขั้นตอนการทำงาน
1. นำยางในรถจักรยานยนต์มาคัดเลือก เอาเส้นที่ไม่ฉีกขาด แช่น้ำลดกลิ่นยาง และทำความสะอาด
2. ตัดส่วนที่เป็นโลหะออก เพื่อป้องกันการเกิดสนิม
3. ท่อ พีวีซี ด้านล่าง แช่ในน้ำร้อน 3 นาที ให้อ่อนนุ่มและหนีบให้แบนกันปลาไหลหนีและนำยางในรถจักรยานยนต์มาสวมกับข้อต่อ พีวีซี สองด้าน
4. นำมาแขวนในแนวตั้งหรือวางแนวนอนในภาชนะที่ต้องการเลี้ยง เช่น ถังพลาสติก 200  ลิตร บ่อคอนกรีต บ่อผ้าใบหรือภาชนะอื่นๆ
5. เติมน้ำในภาชนะ โดยให้ระดับน้ำสูงครึ่งท่อ พีวีซี
6. ปล่อยปลาไหลลงเลี้ยง 1 ตัว ต่อ 1 ล้อ
7. ปิดช่องให้อาหาร โดยไม้หรือฝาครอบ พีวีซี
8. ให้อาหารวันล่ะ 1 ครั้ง ตอนเย็น โดยใช้ปลาเป็ดสับหรือบดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ปลาสามารถกินได้
9.เปลี่ยนถ่ายน้ำ 5-7 วัน ต่อครั้ง หรือสังเกตคุณสมบัติของน้ำประกอบ
10. ตรวจสอบประจำวัน วงล้อใดมีอาหารเหลือในวันนั้น ไม่ต้องให้ และถ้าหากปลาไหลยังไม่เกิน 5-7 วัน ตรวจสอบดูว่าปลาไหลตายหรือเปล่า

ข้อเสนอแนะ
- ควรล้างทำความสะอาดยางให้สะอาดให้มากที่สุด เพราะอาจติดคราบน้ำมันหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อปลาไหลได้
- ถ้าหากไม่ใช้ยางในรถจักรยานยนต์ สามารถหาวัสดุอื่นแทนได้ เล่น พีวีซี พลาสติก เป็นต้น
- ควรฆ่าเชื้อโรคด้วยการแช่ยาเหลือง 2 มิลลิกรัม ต่อน้ำ 5 ลิตร นาน 30 นาที หรือฟอร์มาลีน 25 ppm ก่อนปล่อยเลี้ยง เพราะปลาไหลอาจติดโรคมา และแพร่เชื่อไปยังตัวอื่นได้
- ถ้าไม่มีปลาเป็ดสามารถให้อาหารกุ้งและอาหารปลาดุกแทนได- สิ่งประดิษฐ์เหมาะแก่การขุนปลาไหลมาก เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตดีมาก โดยเริ่มจากปลาไหลขนาด 50-100 กรัม เพราะว่ากินอาหารดี ใช้พลังงานน้อย จึงโตดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก nanasarakaset.blogspot.com

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คิดให้แตกต่างแล้วจะสำเร็จ

                                            คิดให้แตกต่างแล้วจะสำเร็จ



            สวัสดีครับทุกท่าน ผมเคยดูหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่งจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วครับ จำได้แต่ว่าเป็นหนังแนวสืบสวน  มีอยู่ประโยคหนึ่งในหนังที่ผมชอบมาก พระเอกมักจะพูดกับนางเอกว่าเวลาที่เราไขปริศนาในคดีไม่ออกให้เรากลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง  เคยใหมครับที่บางครั้งเราเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่มีเงิน ทำธุรกิจล้มเหลว เป็นลูกน้องก็โดนเจ้านายด่าเป็นประจำ แฟนทิ้ง ไม่มีเงินผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ไม่มีเงินซื้อนมให้ลูก ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่มีเงินซื้อข้าวสาร ค่าโทรศัพท์ถูกตัด อีกเยอะแยะมากมาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุจากตัวเราทั้งนั้นแหละครับ การกระทำของเราในวันนี้จะกลายเป็นผลของตัวเราในวันข้างหน้า

          วันนี้ผมจะขอเสนอแนวคิดในเรื่องสำคัญที่คนส่วนใหญ่ต้องการ นั่นคือเรื่องของเงิน ถ้าวันนี้เงินคุณไม่พอใช้ คุณไม่เข้าใจว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ เราเอาคำพูดในหนังฝรั่งที่ผมกล่าวไปตอนต้นนำมาใช้ได้เลยครับ คือเรากลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เราก็กลับมาวิเคราะห์ซิครับว่าไอ้ที่เรามีเงินใช้ไม่พอมันมาจากสาเหตุอะไร เราสามารถลดรายจ่ายในสิ่งไม่จำเป็นได้หรือไม่  ถ้าเกิดคิดหลายรอบแล้วเราไม่สามารถลดร่ายจ่ายได้ เราก็ต้องมองหาวิธีสร้างรายได้เพิ่มเพื่อจะให้มีเงินพอใช้ และได้เก็บด้วย แล้วทีนี้มีคำถามว่าเราจะทำอะไรดีละ เพื่อให้มีรายได้เพิ่ม จุดเริ่มต้นก็มาจากตัวเรา เราทำอะไรได้บ้างละที่เราถนัด เรามีความสามารถ ถ้าเราหาเจอความถนัดของตัวเองแล้ว ก็ลงมือทำเลยครับ มีอาชีพเป็นร้อยเป็นพันอาชีพบนโลกใบนี้ล้วนมีคู่แข่งทั้งนั้น แต่เราต้องสร้างความแตกต่างจากคนอื่นครับถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ ผู้นำต้องกล้าคิดในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น  มองรอบตัวเรา สิ่งที่เราพบเห็นอยู่ทุกวัน ล้วนนำมาต่อยอดสร้างเป็นรายได้เกือบทุกอย่าง ผมยกตัวอย่างเช่น ในโลกของอินเตอร์เนตมีช่องทางสร้างรายได้ให้กับเราได้มากมาย หรืองานค้าขายจำพวกทำอาหารถ้าเราพอมีฝีมืออยู่บ้างแต่ไม่มีทุนจะไปหาทำเลที่ค่าเช่าแพง เราก็ทำที่บ้านทำโบรว์ชัวร์แผ่นพับใบปลิวแจกตามหมู่บ้านจัดสรร ตามชุมชนที่คนอยู่เยอะ บอกว่าของเราบริการส่งถึงบ้าน โดยระบุว่าต้องสั่งขั้นต่ำเท่าไหร่ ค่าบริการไปส่งกี่บาทคิดเป็นแพ็คเกจไปเลย เช่นสั่งข้าวหน้าเป็ด 4 กล่อง บริการส่งถึงที่ เราก็บวกค่าบริการ 20 หรือ 30 บาท อันนี้ก็ไม่ตายตัวแล้วแต่ความเหมาะสม  หรือถ้าเกิดข้างบ้านที่เราอยู่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่แสดงว่าต้องมีคนงานหลายสิบคน หรือเป็นหลักร้อย เรามาดูซิว่าจะขายอะไรกับคนงานก่อสร้างเหล่านี้ได้บ้าง พวกปลาแห้ง ปลาร้า หรือของกลับแกล้มที่คนงานนิยมกินกับเหล้า งานขายอีกอย่างที่อยากแนะนำ คือขายประกันชิวิตเริ่มจากคนใกล้ตัวเราก่อน เดี๋ยวนี้ประกันชีวิตคนอยากทำกันมากขึ้นแล้วครับ เพราะโฆษณาที่เห็นกันอยู่ทุกวัน หลายคนพลิกชีวิตมาแล้วครับกับงานขายประกันชีวิต  หรือผมเคยเห็นแท็กซี่คันหนึ่งแกมีแผ่นพับเกี่ยวกับสมุนไพรบำรุงร่างกายแกจะแจกให้ลูกค้าทุกคนที่ขึ้นรถของแกโดยจะใส่เบอร์โทร.ของแกไว้ด้วยแกจะมีลูกค้าไม่ขาดคนชอบตรงแผ่นพับสมุนไพรนี่แหละ ขนาดคนขับแท็กซี่ถ้าเราสร้างความแตกต่างได้มันจะเป็นจุดขายของเรา

          ลองสำรวจตัวเองครับว่าเราถนัดอะไร ชำนาญเรื่องไหน ชอบอะไรแล้วลงมือทำ โดยสร้างความแตกต่างจากคนอื่น การเริ่มทำอะไรจากที่สิ่งที่เรารัก เราชอบเราจะทำได้ดีทำอย่างมีความสุข เดี๋ยวเงินทองมันก็มาเองครับ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราไม่ล้มเลิกมันเสียก่อนโชคดีทุกท่านครับ 

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

น้ำเต้าหู้เงินล้าน

                                                     น้ำเต้าหู้เงินล้าน

          น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มที่อยู่คู่คนไทยมานาน มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าน้ำอัดลม และเครื่องดื่มราคาแพงอีกเยอะแยะมากมายที่เห็นวางขายกันเกลื่อน และน้ำเต้าหู้นี่แหละที่สร้างฐานะให้กับคนหลายคนมาแล้ว บางคนสามารถสร้างบ้านราคาหลังเป็นล้าน ขับรถหรูราคาหลายล้าน ไม่น่าเชื่อว่าเขาสร้างฐานะมาจากน้ำเต้าหู้  งานทุกงานบนโลกใบนี้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ขยัน  ซื่อสัตย์ อดทน สร้างความต่างจากคนอื่น โอกาสโกยเงินล้านไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
                    เรามาดูวิธีทำน้ำเต้าหู้กันก่อนว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
          สูตรในการทำน้ำเต้าหู้
ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม(เป็นถั่วผ่าซีกแล้วก็ได้)
น้ำตาลทรายขาวละเอียด 350 กรัม
เกลือเสริมไอโอดีน ป่น 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 32 ถ้วย ( ประมาณ 8 ลิตร )
          อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.ผ้าขาวบาง 2 ผืน เอาไว้กรองกากถั่งเหลือง
2.เครื่องปั่น(เอาไว้ปั่นถั่วเหลืองที่แช่น้ำแล้ว)
3.หม้อ หรือกะละมัง 2 ใบ
          ขั้นตอนการทำ
          เริ่มจากแช่ถั่งเหลืองไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำถั่ว
เหลืองกรองด้วยตะกร้าพลาสติกขนาดเล็กเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ขั้นตอนต่อไปก็นำถั่วเหลืองเข้าเครื่องปั่น เวลาปั่นให้ใส่ถั่วเหลืองประมาณครึ่งโถก็พอ แล้วใส่น้ำสะอาดที่เตรียมไว้โดยใส่พอท่วมเม็ดถั่ว ใช้เวลาปั่นครั้งละประมาณ 2-3 นาทีถั่วก็จะละเอียด แล้วก็นำไปใส่ในหม้อ หรือกะละมังที่เตรียมไว้โดยใช้ผ้าขาวบางกรองกากถั่วเหลือง   พอรเราปั่นถั่วเหลืองเหลืองจนหมด นำน้ำเต้าหู้ที่ได้จากการกรองครั้งแรก นำไปกรองโดยขาว


บางอีกที เสร็จจากขั้นตอนนี้เราก็เอาน้ำเต้าหู้ไปตั้งไฟให้เดือดเปิดไฟให้แรงเลยครับถ้าจะให้หอมก็ใส่ใบเตยซัก 2 ใบ โดยเราต้องคนไปเรื่อย ๆ และคอยตักฟองออกให้หมด พอน้ำเต้าหู้เดือด เราหรี่ไฟลงมาแล้วก็ใส่น้ำตาล( แต่สำหรับคนที่จะนำไปขายก็ไม่ต้องใส่น้ำตาล เราค่อยไปเติมน้ำตาลเวลาที่ลูกค้าสั่ง )ใส่เกลือป่น จากนั้นก็เพิ่มไฟให้แรงอีกครั้ง คอยคนไปเรื่อย ๆ พอน้ำเต้าเดือดก็ปิดไฟ ยกน้ำเต้าหู้ไปเทใส่หม้ออีกใบ เพื่อให้ความร้อนลดลง เพื่อจะทานได้ง่ายขึ้น

         
            จบไปแล้วครับกับขั้นตอนการทำน้ำเต้าหู้ ง่ายมากเลยครับ คราวนี้เรามาดูกันว่าต้นทุนต่อการทำ  สำหรับถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม ว่าเราต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่
ถั่วเหลืองซีก 1 กก. ราคา 40 บาท
น้ำตาลทราย 350 กรัม ราคา ประมาณ 8 บาท
เกลือ 1 บาท
ใบเตย 2 บาท
ค่าแก๊ซประมาณ บาท
รวมเป็นเงินประมาณ 60 บาท

          จากถั่วเหลือง 1 กก. พอกลายเป็นน้ำเต้าหู้แล้วถ้าขายเป็นถุง ๆ ละ 7 บาท จะได้ประมาณ 30-35 ถุง คิดเป็นเงินประมาณ 210-245 บาท  เพราะฉะนั้นจะได้กำไรขั้นต่ำที่ประมาณ 150 บาท ต่อถั่วเหลือง 1 กก. ที่เราเห็นแม่ค้าตามตลาดใหญ่ ๆ ที่เขาขายมานาน เขาทำวันละ 20-40 กก. กำไรวันละ 2-3 พันบาทต่อวันเลยนะครับ บางคนมีไอเดียหน่อยก็ใส่เครื่องปรุงหลายชนิดมาก ราคาก็อัพขึ้นไปอีกถุงละหลายบาท บางคนก็มีไอเดียในการใส่แก้วภาชนะที่สีสันลวดลายสวยงาม บางคนคิดการใหญ่ก็ขยายสาขาหลายสาขา มองหาทำเลที่คนเดินผ่านเยอะ ๆ ย่านตลาดนัด ตลาดสด หน้าเซเว่น หน้าโรงเรียน ย่านชุมชนที่คนเยอะ ๆ  ใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าซักหน่อย อดทน ขยัน ช่วงแรกอาจจะมีลูกค้าไม่มากแต่พอผ่านไปซักระยะคุณจะมีฐานลูกค้าแน่นอน อย่าลืมนะครับคนที่เขาขายได้กำไรวันละสองสามพันบาทเขาก็เริ่มแบบคุณนี่แหละ
          เราต้องมองหาอะไรที่สร้างความแตกต่างกับคนอื่น ช่องทางทำกิน ช่องทางสร้างเงินนั้นมีอยู่รอบตัวเรา เช่น ถ้าลูกค้าซื้อสามถุงแถมคูปอง 1 ใบ สะสมคูปองครบ 10 ใบนำมาแลกน้ำเต้าหู้ได้ 3 ถุง  หรือลูกค้าคนไหนซื้อของเราบ่อย ๆ ก็แถมไปบ้างรับรองได้ใจลูกค้าแน่นอน  พอสาขาแรกของคุณติดแล้วมองหาสาขาสองได้เลยครับ จ้างลูกน้องได้ครับไม่ถูกโกงเพราะน้ำเต้าหู้จำนวนกี่ลิตรเราคำนวณได้ว่าขายได้กี่ถุง  ไม่นานได้กำเงินแสนครับ  ขอให้ทุกท่านโชคดี  

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเพาะเลี้ยงนกหงส์หยก

                                                               การเลี้ยงนกหงส์หยก


           อาชีพนี้เหมาะกับคนที่รักสัตย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าส่วนมากถ้าได้สัมผัสกับนกชนิดนี้แล้วคุณจะรักและหลงใหลมันมากเลยละครับ เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่านกหงส์หยกเป็นนกที่ฉลาด ขี้เล่น ขี้ซน ขี้อ้อน สีสันสวยงาม  เรามารู้จักนกหงส์หยกคร่าว ๆ กันก่อนในส่วนเรื่องรายละเอียด เช่นแหล่งกำเนิด สายพันธุ์ โรคของนก การรักษา คุณสามารถเสริชหาในเนตได้เลย มีเยอะแยะมากมาย ในส่วนตรงนี้ผมอยากจะนำเสนอให้คุณเห็นมุมมองที่กว้าง ๆ ของธุรกิจอาชีพเพาะเลี้ยงนก ว่ามันเหมาะแก่การลงทุนหรือไม่
          สิ่งที่คนอยากประกอบอาชีพนี้ต้องมี
          1.สถานที่เลี้ยงนก  อาจจะเป็นหลังบ้าน  ข้างบ้านหรือในบ้าน หรือดาดฟ้า ที่สำคัญคือต้องมีหลังคา  ขนาดของพื้นที่ประมาณ 4x12 เมตรสำหรับนก 50 คู่
          2.เงินทุนประมาณ 25000 บาท แบ่งเป็นค่าพ่อแม่พันธุ์นก และค่ากรง และรังนก
          3.ทุนหมุนเวียนประมาณเดือนละประมาณ 2000 บาทเป็นค่าอาหารนก
นกหงส์หยกเป็นนกที่เลี้ยงง่าย ราคาพ่อแม่พันธุ์นกคู่ละ 200 บาท ราคากรงเลี้ยงใบละประมาณ 200 บาท และรังนกอีก ประมาณ 100 บาทส่วนการเลี้ยงนั้นถ้าจะทำเป็นธุรกิจผมแนะนำให้เลี้ยงแยกกรงเป็นคู่ ๆ เราสามารถวางกรงซ้อนกันได้ประมาณ 3 ชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่

            ไม่แนะนำให้เลี้ยงเป็นกรงรวม เพราะจะเจอปัญหานกจิกตีกันเวลาที่มันวางไข่  โดยทั่วไปเมื่อนกมีอายุได้ 6-8 เดือนก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ นกจะเข้าคู่และพร้อมจะผสมพันธุ์เมื่อนกผสมพันธุ์กัน แล้วประมาณ 8 วันนกจะวางไข่ใบแรก และจะวางไข่ใบต่อไป แบบวันเว้นวัน ในแต่ละครอกนกจะวางไข่เฉลี่ยประมาณ 7-10 ฟอง หรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่ความสมบูรณ์ของนก จากนั้นประมาณ 18-20 วันลูกนกก็จะเริ่มใช้ปากจิกเปลือกไข่ออกมา

           ลูกนกจะเริ่มโผล่ออกมาจากรังเมื่อมีอายุประมาณ 4-5 สัปดาห์ ช่วงนี้ขนนกจะขึ้นเต็มที่ ช่วงนี้อย่าพึ่งแยกลูกนกออกจากกรง ปล่อยให้พ่อและแม่นกป้อนอาหารให้ อีกประมาณ 7 วันจึงแยกมันออกนำส่งให้ลูกค้า ก่อนลูกนกตัวสุดท้ายจะออกจากรัง แม่นกจะเริ่มวางไข่ ชุด ต่อไป ถ้ารังนั้น ยังมีสภาพดีอยู่  ตลาดที่เราจะขายลูกนกคือร้านขายนก ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็จตุจักร ราคาตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 80-100 บาท ในหนึ่งปีนกจะให้ลูกประมาณ 4 ครั้งหรืออาจจะมากกว่านั้นแล้วแต่ความสมบูรณ์ของนก  การดูแลให้อาหาร ก็ให้วันละครั้งที่สำคัญน้ำกินต้องสะอาด ในขั้นต้นผมอยากแนะนำให้เลี้ยงซัก 5 คู่ก่อนเมื่อเห็นว่าเราสามารถทำอาชีพนี้ได้ก็เพิ่มจำนวนนกให้ได้ซัก 50 คู่เป็นอย่างน้อย มาดูกันว่าถ้าเรามีนก 50 คู่ผลตอบแทนที่เราจะได้รับ
           นก1 คู่ จะให้ลูกคิดเฉลี่ยครอกละ 8 ตัว ในหนึ่งปีจะให้ลูก คิดขั้นต่ำ 4 ครั้ง เท่ากับว่านก 1คู่จะให้ลูกปีละ 32 ตัว ถ้าเรามี 50 คู่จะได้ลูกนก (50x32)= 1600 ตัว ถ้าขายลูกนกตัวละ 80 บาทจะได้เงินทั้งหมด 128,000 บาท  ก็ถือว่าได้ปีละเป็นแสนนะครับ สำหรับนกตัวเล็กที่ไม่ควรมองข้าม เพราะลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวกำไรได้หลายปี ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อาชีพนักเขียน

                                      อาชีพนักเขียนบทความ



            เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจเพราะว่าใช้ทุนน้อยมาก ต้นทุนก็คือสมองและก็ความขยัน อาชีพนี้มีอยู่จริงหรือ แล้วถ้าเกิดเราไม่เคยเขียนบทความมาก่อนจะต้องทำอย่างไร ถ้าเขียนแล้วใครจะซื้อบทความของเรา จะมีรายได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ เดี๋ยวจะอธิบาย กันให้ทราบ

          ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าในโลกของอินเตอร์เนตที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด   มีเวปไซน์มากมายหลายล้านเวปไซน์ บางเวปเจ้าของเวปหรือผู้ดูแลเวปจะคอยอัพเดทบทความข้อมูลความรู้ต่างๆ ให้ผู้ที่เข้ามาชมเวปของเขาเอง แต่บางเวปเขาก็ไม่มีเวลา หรือขี้เกียจ หรืออาจจะต้องการคนที่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่มีความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ มาให้ข้อมูล ก็เลยเกิดมีคนหัวใส รับจ้างเขียนบทความ เพื่ออัปเดทลงเวป หรือบางคนก็เปิดเป็นบริษัทรับซื้อบทความของนักเขียนอิสระทั้งหลาย แล้วก็รวบรวมจัดหมวดหมู่เพื่อขายต่อให้กับเจ้าของเวป  ราคาค่าจ้างในการเขียนบทความนั้นก็จะไม่ตายตัวแน่นอนแล้วแต่คุณภาพของบทความและชื่อเสียงของผู้เขียน โดยทั่วไปก็คิดกันอยู่ที่ประมาณ 500 คำ ราคาอยู่ที่ประมาณ 50 บาท จำนวนคำห้าร้อยคำก็ประมาณหนึ่งหน้ากระดาษ A4 ในการเขียนบทความนั้นส่วนมากผู้ว่าจ้างก็จะกำหนดหัวข้อให้มาว่าจะให้เราเขียนเรื่องอะไร เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ข้อดีข้อเสียของสมาร์ทโฟนรุ่นs4(สมมุติ) หรือประสบการณ์ในการใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้

          แล้วถ้าเราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนต้องทำอย่างไร ก็ต้องฝึกฝนครับตอบแบบกำปั้นทุบดิน เพราะไม่มีใครเก่งตั้งแต่อยู่ในท้อง ทุกอย่างย่อมต้องมีครั้งแรก การเขียนก็คล้าย ๆ กับที่เราเคยเขียนเรียงความสมัยที่เราเรียนหนังสือ หลักการง่าย ๆ คือต้องมีคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป  ส่วนเรื่องข้อมูลที่จะเขียนสิ่งไหนไม่รู้ก็เปิดหาในอินเตอร์เนต ถามกูเกิ้ลได้ทุกเรื่อง พอเขียนไปซักพักเมื่อท่านเขียนบทความได้เก่งขึ้นสามารถหารายได้ต่อวัน 500-1000 บาทได้อย่างสบาย ๆ คิดเล่นๆ ถ้าบทความละ 50 บาท เขียนวันละ 10 บทความวันนึงก็มีรายได้ขั้นต่ำ 500 บาทแล้วนะครับซึ่งเป็นเรื่องไม่ยากเลยสำหรับคนเขียนที่เก่ง ๆ แต่การที่จะเก่งได้ท่านต้องฝึกครับ ยิ่งถ้าท่านเก่งภาษาอังกฤษราคาบทความจะแพงเป็นสองเท่าเลยนะครับ แหล่งรับซื้อนั้นก็มีอยู่มากมายถ้าเขาถูกใจบทความของเราเขาก็จะจ้างตลอด ลองเสริชหาในกูเกิ้ลดูครับ “รับซื้อบทความ” ท่านจะเห็นแหล่งรับซื้อ โทร.ไปสอบถามได้เลยครับ

           เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจมากครับ ใช้สมอง ฝึกฝน ขยัน ต้นทุนน้อยมาก  ที่สำคัญทำเงินได้แน่นอน ใครที่คิดจะหารายได้กับอาชีพนี้ผมเชียร์เต็มที่เลยครับ  ใช้สมองให้เป็นประโยชน์ ไม่ต้องลงทุนเป็นหมื่นเป็นแสน 

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

น้ำกะทิสดกับนายหน้า

       

  แกงกะทิ หรือต้มกะทิ อาหารที่อยู่กับคนไทยมานาน วันนี้ผมมีช่องทางทำเงินกับน้ำกะทิ แล้วมันเกี่ยวกับนายหน้าตรงไหน ปรกตินายหน้าต้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน หรือที่ดิน แต่นี่มันน้ำกะทิ วันนี้เราจะเป็นนายหน้าค้าน้ำกะทิกันครับ
          อันดับแรกเราเข้าไปที่ตลาดเลยครับ พุ่งตรงไปหาแม้ค้าขายน้ำกะทิคั้นสด ดูว่าคนไหนหน้าตาใจดี น่าคุยด้วย ก็เข้าไปคุยเลยครับ แนะนำตัวว่าเราพอมีกลุ่มลูกค้าอยู่บ้าง ถ้าเราจะเอาน้ำกะทิวันละประมาณ 50 โล จะสามารถส่งให้เราได้ในราคาส่วนลดเท่าไหร่ จากประสบการณ์ของผมนะครับ เรา่จะสามรถได้ส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ กิโลละ 7-10 บาท เช่นราคาน้ำกะทิอยู่ที่ 50 บาท แม่ค้าก็จะส่งให้เรากิโลละ40-43 บาทถือว่าโอเคแล้วนะครับถ้าได้ส่วนต่างขนาดนี้ เพราะการจะทำน้ำกะทิสดเราต้องลงทุนมาก เครื่องคั้นน้ำกับเครื่องขูดมะพร้าวอย่างต่ำก็ต้องใช้เงินประมาณ สองแสนบาทแล้วไหนจะต้องมานั่งขูดมะพร้าว และต้องคั้นน้ำอีก เหนื่อยมากเลยครับ สู้เป็นนายหน้าดีกว่า ไม่ต้องลงทุนเครื่องจักร เมื่อตกลงราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มาดูขั้นตอนต่อไป
          อันดับที่สอง ต้องไปทำนามบัตร เขียนให้ดูดีหน่อย ยกตัวอย่างเช่น จำหน่ายน้ำกะทิสด บริการส่งถึงที่ ใส่เบอร์โทร. อีเมลย์ เฟสบุ๊ค ไลน์ ใส่ช่องทางการสื่อสารให้มากเข้าไว้ก่อนเขาจะได้ดูว่าเราเป็นมืออาชีพ เมื่อได้นามบัตรแล้วเราก็จะได้ออกไปหากลุ่มลูกค้าของเรา กลุ่มลูกค้าของเรา ก็จะมีทั้งโรงเรียน ร้านอาหาร โรงงาน ดูที่เราสะดวกใก้ล ๆ กับที่อยู่เราก่อน  แต่ผมเคยประสบความสำเร็จกับโรงเรียนประถม เพราะโรงเรียนประถมจะทำอาหารเอง ส่วนโรงเรียนมัธยมมักจะจ้างแม่ค้าจากข้างนอกเข้ามาขาย ผมอยากแนะนำให้เน้นตามโรงเรียนประถมครับขายง่าย เข้าไปที่ฝ่ายจัดซื้อกับข้าว แนะนำตัวพร้อมกับยื่นนามบัตรให้บอกว่าของเราบริการส่งถึงที่ แต่ราคาขายเท่ากับท้องตลาด
            ถ้าเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่จะใช้นำกะทิวันละประมาณ 15-20 กิโล ถ้าหาให้ได้ซัก 6 โรงเรียน จะได้ประมาณวันละ 90 กิโล ถ้าเราได้ผลต่าง กิโลละ 7 บาท ก็จะได้ 90x7=630 บาท หักค่าน้ำมันประมาณ 200 บาท จะได้กำไรวันละประมาณ 430 ถือว่าโอเคครับ เพราะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชัวโมงต่อวัน บางวันอาจจะมีเสริมเข้ามาเช่น งานบวช งานศพ งานแต่ง ก็ใช้น้ำกะทิเยอะนะครับ  หรือเราไปติดต่อ กับร้านที่รับเหมาทำกับข้าว ในงานบวช หรืองานแต่ง คุยดี ๆ สร้างสายสัมพันธุ์ไว้ก่อน วันนี้ไม่ได้วันหน้าเขาอาจจะเป็นลูกค้าเราก็ได้  พอเราทำนาน ๆ เข้าเราก็จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่นะ ผ่านไปซัก 1  ปีคุณอาจจะมียอดขายวันละ 200 โล ซึ่งจากประสบการของผมก็เคยเห็นมาแล้วครับ คนที่ร่ำรวยจากนายหน้าค้าน้ำกะทิ  ถ้าใครเกิดชอบแนวอาชีพแบบนี้ก็ลองดูครับ ใช้ทุนไม่มาก ที่สำคัญคือต้องใช้สมองมองช่องทางที่คนอื่นเขาไม่มองกัน

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เปิดปั๊มน้ำมันแค่หลักหมื่น

                          เปิดปั๊มน้ำมันด้วยเงินทุนแค่ หนึ่งหมื่นบาท


          ครับท่านอ่านไม่ผิดครับ ใช้เงินทุนแค่หนึ่งหมื่นบาท หลายท่านแน่เลยที่หาว่าผมบ้าไปแล้ว  ขนาดตู้น้ำมันหยอดเหรียญก็มีราคาเจ็ดแปดหมื่นบาท จริงครับไม่เถียง คือการจะเปิดน้ำมันได้คุณจะต้องมีหลักสิบล้านครับ  แต่ว่าปั๊มน้ำมันของเราใช้เงินลงทุนแค่หนึ่งหมื่นเพราะว่าปั๊มน้ำมันของเราเป็นน้ำมัน”ขวด”  ธุรกิจตัวนี้ต่างจังหวัดฮิตกันมาก แล้วก็ไปได้ดีด้วย กำไรก็ดี เพียงแค่มีทำเลติดถนนก็ใช้ได้แล้วครับ แต่ควรจะอยู่ในย่านชุมชนจะดีมาก              พอดีวันนี้ผมเข้าไปธุระในตัวเมือง พอเสร็จขากลับแวะซื้อกาแฟเย็น     ใกล้ ๆ กับร้านกาแฟ เห็นมีร้านเป็นห้องแถวเล็ก ๆ  มีป้ายชื่อร้านเขียนว่า “ราชาน้ำมันขวด” ภายในร้านก็โล่ง ๆ มีแต่น้ำมันใส่ขวดวางเต็มไปหมด แต่เขาจะทำชั้นเหล็กวางเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก แล้วที่สำคัญลูกค้าเข้ามาซื้อน้ำมันอยู่ตลอด  หน้าตาคนขายก็ยิ้มแย้มเป็นกันเองดีมาก ผมเห็นจังหวะดีก็ถือโอกาสเข้าไปสัมภาษเสียเลย  ได้คุยกันประมาณ 20 นาที ก็ได้ข้อมูลมาพอสมควร โดยพอสรุปได้ดังนี้ ยอดขายวันละประมาณ 100-140 ขวด ถ้าซื้อน้ำมันมาลิตรละ 42 ก็จะใส่ขวดขายลิตรละ 47 กำไรขวดละ 5 บาท ใส่ขวดละ 1 ลิตร ขายได้กี่ขวดก็คูณไปเลยขวดละ 5 บาท แกบอกว่าขายแรก ๆ ก็ได้ประมาณวันละ 20-30 ขวด คือตอนแรกแกคิดจะทำเป็นงานเสริม ผ่านไป 7 เดือนก็ขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ขวดทุกวันก็เลยขึ้นป้ายชื่อร้าน นี่แกมีโครงการจะเพิ่มสาขาอีกสองแห่ง ถ้าเกิดไปได้ดีก็จะเพิ่มสาขาให้ได้ซัก 10 สาขา แกบอกว่าขอกำไรสาขาละ 300 บาท ถ้า10 สาขา วันละ 3000 เดือนละเกือบแสนนะครับผมว่าแกทำได้ครับเพราะแบรนด์ของแกติดตลาดแล้วครับ โอ้โอ..สุดยอดเลยครับคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก 


          ต้นทุนของธุรกิจตัวนี้ก็จะแบ่งเป็นค่าทำชั้นเหล็กประมาณ 6000 บาท ค่าซื้อน้ำมัน 100 ลิตรประมาณ 4500 ค่าขวดใบละ 1 บาทซื้อจำนวน 100 ใบ(ขวดหาซื้อได้ตามร้านรับซื้อของเก่า ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าหัวใจหลักของธุรกิจตัวนี้คือทำเลควรจะติดถนน และเป็นแหล่งชุมชน  เมื่อพร้อมดังที่กล่าวแล้วก็ลงมือเลยครับ อดทน ขยัน ซื่อสัตย์  ความสำเร็จรอท่านอยู่ไม่ไกลครับ ขอให้โชคดี

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พนักงานโรงงานคือเม็ดเงินมหาศาล

                  


 วันนี้ก็ขอเสนออีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ อาชีพนี้เหมาะกับคนที่มีรถปิคอัพ อาชีพนี้สามารถทำกำไรเยอะน่าดูเหมือนกัน  จุดที่น่าสนใจของอาชีพนี้ควรอยู่ใกล้แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมมีแรงงานทำงานกันมาก ๆ เพราะเราจะทำเงินกับพนักงานของโรงงานเหล่านี้แหละครับ



                   นั่นคือขายทุกอย่างให้กับพนักงานของโรงงาน ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันครับ ผมมีญาติคนหนึ่งเมื่อก่อนแกเคยทำงานบริษัทมาหลายปี แต่เมื่อเหตุผลให้ต้องออกจากงาน แกกับภรรยาก็ต้องมาวางแผนหาเลี้ยงครอบครัวกันใหม่เพราะมีลูกเล็กอีก 2 คน ก็เลยตกลงกันไปซื้อปลาที่สะพานปลา เป็นปลาราคาไม่แพงราคาก็ตกประมาณกิโลละ35 บาท แล้วก็นำมาใส่แยกเป็นถุง ถุงละ 1 กิโล แกขายถุงละ 55 บาท ได้กำไรถุงละ 20 บาท พอตอนเย็นซึ่งเป็นช่วงที่คนงานเลิกงาน แกก็จะนำรถไปจอดใกล้ ๆทางเดินของพนักงาน เอาป้ายราคาอันใหญ่ ๆ เขียนติดไว้ด้วย ลูกค้ารุมซื้อกันเพียบเลยครับ แกขายได้เกือบ 200 หิโลนะครับแต่ละวัน ใช้เวลาขายประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว คิดกันเล่น ๆ ครับ กำไรกิโลละ 20 บาท ถ้าขายได้ 200 โล จะได้กำไร (200x20)=4000  หักค่าน้ำมันแล้วผมว่ากำไรเยอะนะครับ  จุดที่สำคัญอีกอย่างราคาขายควรจะถูกกว่าในตลาดซักเล็กน้อยเพราะพนักงานโรงานเขาไม่ชอบของแพงเพราะต้องรัดกุมในการใช้จ่ายอะไรที่ประหยัดได้สำหรับเขา  เขาก็ต้องเลือกไว้ก่อน พนักงานแต่ละโรงงานมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันนะครับ ลองคิดหาสินค้าไปขายหน้าโรงงานดูครับ ที่ผมบอกว่าเหมาะกับคนมีรถปิคอัพก็เพราะเราไม่ต้องไปใช้ทางเท้าเดี๋ยวผิดกฏหมายจราจรอีก รถปิคอัพเหมาะดีครับ จอดใกล้หน้าประตูทางออก รับรองขายอะไรก็ได้ที่ราคาไม่แพง  ได้จับเงินแสนกันแน่นอน โชคดีทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รับจ้างตัดหญ้า

                                  วันนี้จะเริ่มด้วยอาชีพ รับจ้างตัดหญ้า นี่เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่น่ามองข้าม  เพราะเป็นอาชีพที่ลงทุนน้อย  ต้นทุนหลัก ๆ ก็คือเครื่องตัดหญ้าถ้าเป็นของใหม่ ราคาอยู่ที่ประมาณ5000-หมื่นกว่าบาท ขอแนะนำให้ซื้อราคาประมาณ เจ็ดพันกว่าบาทก็พอ ถือว่าคุณภาพโอเคแล้วครับ ไม่อยากแนะนำให้ไปซื้อของมือสองเพราะจะจุกจิกเดี๋ยวงานไม่เวิร์ค   เริ่มต้นท่านต้องพิมพ์นามบัตรก่อน ใส่เบอร์โทร.ชื่อ ที่อยู่ หรือจะพิมพ์เป็นกระดาษโปสเตอร์ขนาดกระดาษ A4 ก็ได้เสร็จแล้วก็ค่อยไปถ่ายเอกสาร ก็ประหยัดดีเหมือนกัน แต่อยากแนะนำให้ทำนามบัตรมากกว่า เพราะดูดีกว่ามากเลย ราคานามบัตรก็ประมาณร้อยใบก็สามร้อยบาท  พิมพ์ไปเลยในนามบัตรว่ารับจ้างตัดหญ้า จากนั้นก็นำนามบัตรไปใส่ตามตู้รับจดหมาย ตามหมู่บ้านจัดสรรย์ หรือย่านชุมชนที่คนอาศัยอยู่เยอะ ๆ ที่นี้ก็รอรับสายจากลูกค้าได้เลย
                                 อัตราการคิดค่าบริการ ถ้าเป็นทาวเฮาส์ขนาดทั่วไปเนื้อที่ตัดหญ้าประมาณ 4x6 เมตร ก็คิดราคาประมาณ 300 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงใช้นำมันประมาณ 1 ลิตร(เบนซิน) ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ก็คิดราคาประมาณ 500 ขึ้นไป ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้น้ำมันประมาณ 2 ลิตร ก็ประมาณ 80 บาท ถ้าได้ทาวเฮาส์ซัก 2 หลังต่อวันก็จะมีรายได้ 600 บาท หักค่าน้ำมันประมาณ 80 บาทก็เหลือกำไร 520 บาท กับการทำงานแค่ 4 ชั่วโมง แต่ถ้าได้บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ซัก 2 หลัง ได้ขั้นต่ำแน่นอน หนึ่งพันบาท หักค่าน้ำมันประมาณ 150 บาท เหลือเป็นกำไรเหนาะ ๆ 850 บาท ข้อดีของอาชีพนี้ก็คือเป็นงานอิสระ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร แล้วบ้านไหนที่เขาจ้างเราตัด อีกไม่เกิน 45 วันเขาก็จ้างเราอีกเพราะหญ้ามันจะขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าเราบริการดี ตัดเสร็จก็เก็บเศษหญ้าแยกใส่ถุงขยะให้เรียบร้อย พูดจากับลูกค้าเพราะ ๆ บางบ้านเขาชวนทานข้าวเที่ยงด้วยก็มีนะครับ และที่สำคัญเขาจะบอกกันปากต่อปาก บ้านใกล้ ๆ กันก็อาจจะเป็นลูกค้าของเราอีก
                                 ผมเคยรู้จักรุ่นพี่คนหนึ่ง แกชื่อสุพจน์ แกเริ่มจากเที่ยวรับจ้างตัดหญ้าตามหมู่บ้านจัดสรรย์ พิมพ์นามบัตรไปใส่ไว้ในตู้รับจดหมาย หรือไปเหน็บไว้ตามรั้วบ้าน แกรับงานประมาณ 3 หลังต่อวัน คุณสุพจน์ทำอยู่ประมาณ 6 เดือน ก็เริ่มมีลูกค้ามากขึ้น จนรับงานไม่ทัน จากนั้นก็เริ่มหาคนงานมาเป็นผู้ช่วยโดยให้ค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 300 บาท ผุ้ช่วยของแกสามารถทำงานได้ 3 หลังต่อวัน คุณสุพจน์รับเงินมาหลังละ 300 คูณสามหลังก็เท่ากับ 900 บาท หักค่าน้ำมัน120  ค่าลูกน้อง 300 แล้วยังเหลืออีกตั้ง 480 บาท  ต่อมางานเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ จนต้องหาลูกน้องเพิ่มประมาณ อีก 8 คน คุณสุพจน์สามารถรับงานได้ถึงวันละ 24 หลัง โดยสุพจน์จะมีรายได้โดยคิดจากลูกน้อง 8 คน คือคนละ 480 บาทคูณด้วย 8 จะเท่ากับ3840 ต่อวัน ซึ่งนับเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยละครับ เดี๋ยวนี้เป็นเสี่ยไปแล้วครับ ไม่ต้องทำเองมีรถปิคอัพ คอยรับส่งลูกน้องไม่ต้องทำเอง รอรับออเดอร์อย่างเดียว
                                ก็อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางท่านนะครับ สำหรับข้อมูลในเรื่องอาชีพรับจ้างตัดหญ้า  เพราะคนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยมีเวลาตัดหญ้าเองหรอกครับ เขาซื้อความสะดวกสบาย นี่จึงเป็นโอกาศของคนที่มองเห็น และขยัน รับตัดหญ้าแต่รับเงินแสนต่อเดือนเลยนะครับ ่อย่าทำเป็นเล่น